เบื้องต้นข้อมูลรถใหม่ TOYOTA Mitsubishi Nissan Honda

Mitsubishi รักน้องเสียดายพี่ ปล่อยเวอร์ชั่นใหม่ Outlander 2 รุ่นใหม่และเก่า


Mitsubishi รักน้องเสียดายพี่ ปล่อยเวอร์ชั่นใหม่ Outlander 2 รุ่นใหม่และเก่า
ตามปกติแล้ว การที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ออกมา นั่นหมายความว่ารถยนต์รุ่นเดิมจะถูกแทนที่โดยรถยนต์รุ่นใหม่ไปโดยปริยาย แต่สำหรับกรณีของ Mitsubishi และรถ SUV หรือ crossover อย่าง Outlander แล้วเป็นข้อยกเว้นสำหรับตลาดญี่ปุ่น เพราะ Mitsubishi ตัดสินใจปล่อยรุ่นย่อยใหม่ของรถ Compact Crossover รุ่นนี้ออกมาทั้งที่เป็นเวอร์ชั่นใหม่ของ Outlander โฉมใหม่ล่าสุดและโฉมปัจจุบัน ซึ่งทั้งสองรุ่นใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร แบบใหม่ ให้กำลัง 148 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที โดยมีแรงบิดสูงสุด 20.1 กิโลกรัมเมตร ที่ 4,200 รอบ/นาที

สำหรับ Outlander 20E ที่เป็นโฉมปัจจุบัน(หรือตัวถังแบบเดิม)จะมีระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ 2WD และ 4WD ให้เลือก โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 1,995,000 เยน ส่วน Outlander Roadest ที่ใช้พื้นฐานของรถโฉมใหม่ จะมีชุดแต่งแอโรสไตล์สปอร์ท และมีระบบขับเคลื่อนแบบ 2WD และ 4WD ให้เลือกเช่นกัน โดยมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2,475,900 เยนครับ

เผยโฉม Aston Martin Cygnet รถจิ๋วระดับพรีเมี่ยม จับ Toyota iQ มาแต่งตัวใหม่


เผยโฉม Aston Martin Cygnet รถจิ๋วระดับพรีเมี่ยม จับ Toyota iQ มาแต่งตัวใหม่
เมื่อหลายเดือนก่อน Aston Martin ได้สร้างความฮือฮาด้วยการประกาศสร้างรถขนาดจิ๋วที่ใช้ Toyota iQ เป็นรถพื้นฐานในการผลิต ซึ่งในขณะนั้น Aston Martin Cygnet รถที่กำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ ยังเป็นรถต้นแบบปั้นดินเหนียวในโรงงานของบริษัทสัญชาติอังกฤษรายนี้อยู่เลย ล่าสุดวันนี้ Aston Martin ได้ปล่อยภาพอย่างเป็นทางการชุดแรกของ Cygnet ที่เป็นรุ่นแนวคิดพร้อมผลิตออกมาสู่สายตาสาธารณชนโดยเฉพาะลูกค้าเก่าและใหม่ของ Aston Martin ที่มีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของรถจิ๋วรุ่นนี้ก่อนใคร

ไม่แปลกที่เลย Cygnet จะดูคล้าย iQ มากๆเพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า iQ คือรถพื้นฐานในการออกแบบ Cygnet เพียงแต่นำมาแต่งหน้าทาปากใหม่ใส่ความเป็น Aston Martin เข้าไปผ่านแผงกระจังหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ ช่องอากาศ กันชนหน้า-หลัง ไฟหน้า-ท้าย รวมถึงล้อลลอยก้านถี่ก็มีการออกแบบใหม่

ภายในของ Cygnet ก็มีการออกแบบใหม่เช่นกันด้วยการใช้วัสดุชั้นดีให้สมกับเป็นรถขนาดจิ๋วระดับพรีเมี่ยม มีการตกแต่งโดยใช้ลายใหม่ แต่โครงสร้างพื้นฐานทั่วไปก็ยังเป็นของ iQ อยู่ดี

อย่างไรก็ตาม Aston Martin ยังไม่เปิดเผยในรายละเอียดเครื่องยนต์กลไกของรถรุ่นนี้ แต่เชื่อกันว่าระบบขับเคลื่อนที่ใช้จะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.33 ลิตรที่ใช้กับ Toyota iQ

บริษัทฯมีแผนที่จะจำหน่าย Cygnet ให้กับกลุ่มลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ที่สั่งจองรถของบริษัทฯ ก่อนที่จะมีการเปิดจำหน่ายให้กับบุคคลที่สนใจทั่วไปในภายหลัง โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มจำหน่ายในประเทศอังกฤษและยุโรปภายในสิ้นปี 2010 หรือปีหน้านี่เอง
โดยรวมแล้ว Aston Martin Cygnet ก็คือ Toyota iQ ในเส้นสายของ DB9 แล้วใส่โลโก้ Aston Martin เข้าไปเพื่อแสดงว่ารถรุ่นนี้ “จิ๋วแต่แจ๋ว” โดยจะมีการติดป้ายราคาไว้ที่ 20,000 ยูโรครับ
ที่มา: Aston Martin

ใหม่ BMW Z4 sDrive35is รหัส S สุดหล่อมหากาฬ จ่อออกงานเปิดตัวที่ Detroit Auto Show


ใหม่ BMW Z4 sDrive35is รหัส S สุดหล่อมหากาฬ จ่อออกงานเปิดตัวที่ Detroit Auto Show
BMW เตรียมเปิดตัว Z4 sDrive35is ที่งาน Detroit Auto Show ซึ่งจะเริ่มขึ้นในเดือนหน้า ก่อนที่จะลงสู่ตลาดในฤดูใบไม้ผลิในปีเดียวกัน ตามรหัส s ที่บอกก็คือความแตกต่างจาก Z4 รุ่นมาตรฐานในแง่ที่ sDrive35is เร็วและแรงกว่าด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบ แถวเรียง ทวินเทอร์โบ 3.0 ลิตร ที่มาพร้อมกับชุดแต่งโฉมและสมรรถนะ M Sports เริ่มด้วยเครื่องยนต์ที่มีการปรับแต่งระบบการไหลเวียนอากาศและระดับแรงดันที่สูงขึ้น ทำให้กำลังเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นจาก 306 ไปเป็น 340 แรงม้าที่ 5,800 รอบ/นาที ในขณะที่แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 450 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบฯ 1,400-4,500 รอบ/นาที

นอกจากนั้นแล้วระบบจัดการเครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับแต่ง ทำให้ผู้ขับสามารถใช้ฟังค์ชั่นการทำงานแบบ Overboost ที่เพิ่มแรงบิดเครื่องยนต์ในขณะที่มีการบรรทุกสัมภาระเต็มที่ได้อีก 50-500 นิวตันเมตร โดยกำลังจะถูกส่งไปยังล้อหลังผ่านระบบเกียร์ Double Clutch 7 จังหวะ ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เช่นกัน โดย BMW อ้างว่า Z4 sDrive35is สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลา 4.8 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง

BMW เพิ่มเติมอีกว่า แม้ว่า Z4 sDrive35is จะมีสมรรถนะสูงกว่า Z4 รุ่นมาตรฐาน แต่กลับมีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใกล้เคียงกัน คือ 9 ลิตร/100 กิโลเมตร โดยมีอัตราการปล่อย CO2 เข้าสู่อากาศที่ 210 กรัม/กิโลเมตร

นอกเหนือจาการอัพเกรดระบบขับเคลื่อนแล้ว Z4 sDrive35is ยังมาพร้อมกับชุดแต่ง M Sports ชุดแต่ง M Aerodynamics และชุดกันสะเทือน M แบบปรับได้ ซึ่งชุดแต่งเหล่านี้ถือว่าเป็นอุปกรณ์มาตาฐานสำหรับ BMW รุ่น Z4 sDrive35is นี้
ชุดระบบกันสะเทือน M ที่มี damper ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ จะโหลดเตี้ยรถลงไปอีก 10 มิลลิเมตร โดย Z4 ตัวท็อปรุ่นนี้ยังใช้ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ที่มีการตั้งโปรแกรมใหม่ซึ่งช่วยทำให้การตอบสนองดีขึ้น
สำหรับภายนอก ชุดแต่ง M ประกอบด้วยล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้ว โดยมี option เป็นล้อขอบ 19 นิ้ว กันชนหน้าแบบใหม่ กระจังหน้ารูปไตตกแต่งใหม่ ครอบกระจกข้างสีเงินด้าน กันชนหลังใหม่เช่นกันพร้อม diffuser และปลายท่อแบบใหม่
สำหรับภายในประกอบด้วยชุดแต่ง M ที่มีพวงมาลัยหุ้มหนัง gearshift paddle ที่พักเท้า เบาะนั่งสไตล์สปอร์ท แต่งลายด้วยอลูมิเนียมคาร์บอน พรมรองพื้น เป็นต้น แผงหน้าปัดอุปกรณ์ต่างๆมีการออกแบบใหม่ด้วยการใช้สีเทาบริเวณหน้าปัดพร้อมสัญลักษณ์ sDrive35is ของรุ่นครับ

ที่มา: BMW

Audi Q7 4.2 V8 รถเอสยูวีแต่ง ขยับจาก 350 สู่ 374 แรงม้า โดย Senna Tunning


Audi Q7 4.2 V8 รถเอสยูวีแต่ง ขยับจาก 350 สู่ 374 แรงม้า โดย Senna Tunning
Senna Tunning ได้ปล่อยชุดแต่งโฉมและสมรรถนะสำหรับ SUV หรูอย่าง Audi Q7 4.2 V8 โดยสามารถเพิ่มกำลังขึ้นจาก 350 ไปสู่ 374 แรงม้า ในขณะที่แรงบิดสูงสุดก็ขยับขึ้นจาก 440 ไปเป็น 470 นิวตันเมตร นอกจากนั้นแล้วชุดแต่งอื่นๆยังมีระบบไอเสียสไตล์สปอร์ทแบบใหม่ ชุดโหลดเตี้ยที่ลดระดับรถลงไปอีก 40 มิลลิเมตร Senna ยังเสริมหล่อให้ Q7 ด้วยล้ออัลลอยขอบ 22 นิ้ว หุ้มด้วยยางของ Goodyear ขนาด 295/30 R22 สำหรับชุดแต่งโฉมได้แก่ กันชนหน้า-หลัง คิ้วบังโคลน ธรณีประตู กระจังหน้าจาก Q7 V12 TDi และไฟวิ่ง daytime แบบ LED จากรุ่น S6


ที่มา: Senna Tunning

เผยโฉมรถเปิดประทุน Mercedes-Benz E-Class ก่อนเริ่มจำหน่ายต้นปีหน้าที่ยุโรป


เผยโฉมรถเปิดประทุน Mercedes-Benz E-Class ก่อนเริ่มจำหน่ายต้นปีหน้าที่ยุโรป
Mercedes-Benz ได้เปิดไพ่รถรุ่นสุดท้ายของ E-Class เจนเนอเรชั่นใหม่ โดยการเผยโฉม E-Class Convertible เพื่อทดแทนรุ่น CLK และถือว่าเป็นการประกาศตัวกลายๆในการเข้าแข่งขันในตลาดเดียวกันกับรถเปิดประทุนอย่าง BMW Series 3 และ Audi A5 และแม้ว่าค่ายดาวสามแฉกยังไม่มีการแถลงข่าวอย่างเป็นการทางการออกมา แต่ก็ได้ปล่อยภาพชุดแรกของรถเปิดประทุน 4 ที่นั่งสุดหรูรุ่นนี้ออกมาก่อนที่จะเริ่มจำหน่ายในยุโรปในวันที่ 10 มกราคม ปี 2010 หรือต้นเดือนหน้านี้ ก่อนที่จะเริ่มทำตลาดในอเมริกาและอื่นๆต่อไปในปีเดียวกัน

ด้วยการใช้รุ่น E-Class Coupe เป็นรถพื้นฐาน รถเปิดประทุนรุ่นนี้ใช้หลังคาผ้าใบควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนหลังคาแบบแข็ง โดยมีการออกแบบฝากระโปรงหลังและปีกหลังใหม่ ซึ่งหนึ่งในคุณสมบัติพิเศษของรถรุ่นนี้ก็คือ สปอยเลอร์ที่ติดตั้งด้านบนของกระจกหน้าที่เรียกว่า “Aircap” โดยจะมีระบบที่ทำงานพร้อมกับตัวเบี่ยงเบนลมด้านหลังที่จะช่วยกำหนดทิศทางของลมที่จะไหลผ่านบริเวณที่นั่งด้านหน้า

นอกจากนั้นแล้ว E-Class Convertible นี้ยังใช้เทคโนโลยีเดียวกับรุ่น Coupe โดยในช่วงแรกที่จะทำตลาดในยุโรปจะมีเครื่องยนต์ทางเลือกคือ 3 ชนิดเครื่องยนต์ดีเซลและ 4 ชนิดเครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลคือ รุ่น E220 CDI 170 แรงม้า รุ่น 250CDI 204 แรงม้า และรุ่น E350 CDI 231 แรงม้า ในขณะที่รุ่นเครื่องยนต์เบนซินคือ รุ่น E200 CGI 184 แรงม้า รุ่น E250 CGI 204 แรงม้า รุ่น E350 CGI 292 แรงม้า และรุ่นท็อปสุดคือรุ่น E500 เครื่องยนต์ V8 388 แรงม้า
คาดว่ารายละเอียดอื่นๆจะมีการปล่อยออกมาในเร็ววันนี้ครับ แต่ตอนนี้เราไปชมภาพสวยๆของ E-Class Convertible รุ่นใหม่กันดีกว่า

ที่มา: Mercedes-Benz

Suzuki Swift โฉมใหม่ ปี 2010 โดดเด่นด้วย Cubical Design ในราคาเริ่มต้น 5.99 แสนบาท


Suzuki Swift โฉมใหม่ ปี 2010 โดดเด่นด้วย Cubical Design ในราคาเริ่มต้น 5.99 แสนบาท
Suzuki ได้ตัดสินใจทำตลาด Swift อีกครั้งหลังจากหายไปจากตลาดไทยนานแสนนาน แต่ด้วยความต้องการของตลาดในรถยนต์ขนาดเล็กหรือ Compact Car ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆทำให้ Suzuki มั่นใจว่าจะเข้ามาชิงส่วนแบ่งของตลาดได้ไม่มากก็น้อย ล่าสุดเได้เปิดตัว Swift โฉมใหม่ในงาน Motor Expo ที่ผ่านมา โดยชูการออกแบบสไตล์ Cubical Design ที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งในช่วงนี้จะทำตลาดเพียงแค่ 2 รุ่น คือ รุ่น GA เกียร์อัตโนมัติ ราคา 599,000 บาท และรุ่น GL เกียร์อัตโนมัติ ราคา 649,000 บาท ส่วนรายละเอียดอ่านได้จากข่าวของ Suzuki Automotive (Thailand) ต่อจากนี้ครับ

SWIFT อีกหนึ่งนวัตกรรมยานยนตร์ที่เราภาคภูมิใจจากการสร้างสรรค์โดยทีมวิศวกรและทีมนักออกแบบที่ทำงานอย่างทุ่มเท เพื่อให้ SWIFT เป็นคอมแพ็กคาร์ที่ดีที่สุดของ SUZUKI ซึ่งแนวคิดใหม่ใส่ความสดทั้งหมดนี้ทำให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนาน ด้วยดีไซน์ไม่ซ้ำใคร บ่งบอกเอกลักษณ์ได้อย่างชัดเจนและเป็นที่ถูกใจคนทั่วโลก

ในโครงการพัฒนา SWIFT ใหม่ SUZUKI SWIFT จึงไม่ได้เป็นเพียง แค่คอมแพ็คคาร์ที่ถูกสร้างให้ตรงตามมาตรฐานการผลิตจากยุโรป แต่ SWIFT ยังถือเป็นการเดินทางครั้งใหม่ที่มากกว่าในเรื่องของรูปลักษณ์อันปราดเปรียวทันสมัย และยังเป็นกุญแจสำคัญในการทำ แบรนด์ดีเอนเอของ SUZUKI ให้มีความชัดเจนขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของ SUZUKI เหมือนกับที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดกับการเป็น
แบรนด์ของผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ให้เป็นที่ยอดนิยมทั่วโลกมาแล้ว

ก้าวทะยานเปิดโลกทัศน์ใหม่กับ SUZUKI SWIFT ล้ำที่สไตล์ด้วยรูปลักษณ์ Cubical Design ฉีกรูปแบบของทุกยานยนต์ที่เคยมีมา แค่เพียงพลิกมุมมองก็จะค้นพบความโดดเด่นเป็นหนึ่ง ด้วยดีไซน์สนุกสุดเท่ แตกต่างกว่าใครในสไตล์ที่เป็นคุณ

ตอบทุกความต้องการของชีวิตในเมือง ด้วยความโดดเด่นแบบ Cubical Design สไตล์สปอร์ต ไฟหน้าใหญ่ชัดเจน กระจกกว้างรอบคันให้ทัศนวิสัยที่ดีรอบทิศทาง ซุ้มล้อแข็งแกร่ง คานประตูมั่นคง สปอยเลอร์ที่ยึดเกาะถนนได้ดี ชุดไฟท้ายดีไซน์โค้งมน รวมถึงล้อขนาดใหญ่ เพิ่ม ความมั่นใจในทุกการขับขี่

สะกดทุกสายตา สะกดทุกความรู้สึกที่ต้องหยุดสยบให้กับ SUZUKI SWIFT
ทุกรายละเอียดภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบให้มี สไตล์ ไม่ว่า จะเป็นการดีไซน์พวงมาลัยพาวเวอร์และคันเกียร์ ไปจนถึงวงไฟเรือง แสดงรอบมาตรวัดความเร็ว ตำแหน่งของหน้าปัดควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ติดตั้งมองเห็นง่ายชัดเจน ชุดอุปกรณ์เครื่องเสียงและรบบปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพควบคุมด้วยปุ่ม สวิตช์ขนาดใหญ่ สะดวกต่อการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงที่ติดตั้งบริเวณพวงมาลัย คอนโซลกลางสำหรับเก็บของ วิทยุและเครื่องเล่นซีดีลงตัวกับดีไซน์รถอย่างกลมกลืนแบบไร้รอยต่อ และเบาะนั่งด้านหลังพับเก็บได้ง่ายดาย ให้คุณเพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้มากขึ้น
ไม่เพียงแค่ได้สัมผัสความใหม่ล้ำแบบ Cubical Design แต่คุณยังสามารถสุดเหวี่ยงสไตล์ SWIFT ได้ กับสมรรถนะเป็นเยี่ยมของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ซึ่งปรับปรุงใหม่ทั้งหมดเพื่อให้ประสิทธิภาพในการปรับแต่งสำหรับความเร็วใน ระดับต่ำและกลาง ซึ่งเป็นการผสมผสานเข้ากับ คุณภาพสูงสุดที่อัตราการสิ้นเปลืองต่ำสุด
เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ออกแบบพิเศษเฉพาะสำหรับ SWIFT ใช้เทคโนโลยี Variable Valve Timing (VVT) เพื่อให้กำลังและแรงปิดสูงสุดตลอดการเร่ง ระบบส่งกำลังแบบเกียร์ออโตเมติกสี่สปีด และมี Torsion-Beam Rear Suspension เพื่อความสมดุลอย่างลงตัวระหว่างประสิทธิภาพและความรู้สึกสบายขณะขับขี่
ขับ ขี่สนุกได้อย่างมั่นใจกับระบบความปลอดภัยที่เราคำนึงถึงเพื่อคุณ ด้วยระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS) และระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) สร้างสมดุลที่ดีของแรงเบรกให้กับล้อหน้าและล้อหลัง (ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้โดยสารและสภาพบรรทุก) นอกจากนี้ยังมี Supplement Restraint System (SRS) ถุงลมนิรภัยคู่ด้านหน้า วางใจได้ตลอดการขับขี่
ราคา New Suzuki Swift มีดังนี้

Suzuki Swift รุ่น GA เกียร์อัตโนมัติ ราคา 599,000 บาท
Suzuki Swift รุ่น GL เกียร์อัตโนมัติ ราคา 649,000 บาท

ที่มา: Suzuki Automotive (Thailand)

New Honda CR-Z Hybrid สปอร์ทคูเป้ระบบไฮบริด ปล่อยโบรชัวร์ว่อนเน็ท กระตุ้นความอยาก!


New Honda CR-Z Hybrid สปอร์ทคูเป้ระบบไฮบริด ปล่อยโบรชัวร์ว่อนเน็ท กระตุ้นความอยาก!
ในที่สุดโบรชัวร์ของ Honda CR-Z Hybrid Coupe ก็ได้ถูกปล่อยออกมาในฟอรั่มต่างๆแต่เป็นภาพของโบรชัวร์ที่ถูกใครบางคนสแกนออกมาเพื่อสื่อเป็นนัยว่ารถไฮบริดคูเป้สุดเท่คันนี้จะมีการผลิตออกมาจำหน่ายในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน(ซึ่งคาดว่าจะเป็นเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้านี้เอง) หลังจากที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลกที่งาน Tokyo Motor Show เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งจากภาพที่เห็นในโบรชัวร์ก็พอจะบอกได้ว่าในเรื่องรูปลักษณ์ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากรถต้นแบบที่นำมาอวดโฉมกันไปแล้ว

ข้อมูลในโบรชัวร์ทำให้เราทราบว่า ระบบขับเคลื่อนของ CR-Z Hybrid ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตรและมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว ที่จะส่งกำลังไปขับเคลื่อนล้อหน้าผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ โดยเครื่องยนต์เบนซินนี้จะให้กำลัง 113 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดที่ 145 นิวตันเมตรที่ 4,800 รอบ/นาที ในขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 13.4 แรงม้าที่ 1,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 78 นิวตันเมตรที่ 1,000 รอบ/นาที

ในเรื่องของอัตราเร่งอาจจะไม่โดนใจคนรักรถสปอร์ทเพราะอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต้องใช้เวลา 9.7 วินาที ในโบรชัวร์ได้พูดถึงอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง 2 ตัวเลขคือ 25 กิโลเมตร/ลิตร และ 22.5 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งเดาว่าเป็นตัวเลขของการขับในเมืองและนอกเมือง

และเมื่อเปรียบเทียบกับ Honda Insight Hybrid จะพบว่า CR-Z Hybrid ดีกว่าในทุกเรื่องทางด้านสมรรถนะ เพราะ Insight ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.3 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 10 แรงม้า ให้กำลังรวม 98 แรงม้า อัตราเร่งฯทำได้ในเวลา 12.5 ลิตร โดยมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ 17.4 กิโลเมตร/ลิตร

และหลังจากที่โบรชัวร์ได้ถูกเผยแพร่ออกไปเพียง 1 วัน ก็มีภาพปล่อยโบรชัวร์ของ Mugen ตามออกมา แสดงความพร้อมในการขายชุดแต่งอย่างเต็มที่ ซึ่งก็ต้องบอกว่าไม่ผิดหวังสำหรับความหล่อเท่เมื่อ CR-Z ได้ใส่ชุดแต่งของ Mugen ที่ประกอบด้วยกระจังหน้าใหม่ สเกิร์ตข้างขนาดใหญ่ บังโคลนหน้า ปีกหลังขนาดใหญ่ กันชนหลังใหม่ที่มาพร้อมกับ diffuser ตบท้ายด้วยล้อลอยลายใหม่ นอกจากนั้นแล้วคาดว่าจะมีการอัพเกรดในส่วนของระบบกันสะเทือน ระบบเบรค ระบบไอเสียและการตกแต่งภายใน

Honda CR-Z Hybrid รุ่นใหม่นี้จะเริ่มมีจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ตามด้วยยุโรปและอเมริกาเหนือหลังจากนั้นอีกไม่นาน ส่วนเมืองไทยคนที่กำลังเล็ง Insight อยู่ก็อาจจะเปลี่ยนใจมาซื้อรถคันนี้ก็ไม่เลวแม้ว่าการนำไปใช้งานจะต่างกัน เพราะไหนๆก็นำเข้าเหมือนกันและถ้ามันไม่แพงจนเกินไป ส่วนเรื่องของราคาเราจะติดตามข่าวแล้วนำมาแจ้งให้ทราบครับ

New Honda CR-Z Hybrid สปอร์ทคูเป้ระบบไฮบริด ปล่อยโบรชัวร์ว่อนเน็ท กระตุ้นความอยาก!
ที่มา: Axfc/Minkara

New Honda CB1300S ใหม่ ปี 2010 มอเตอร์ไซค์ Sports Tourer ปรับเล็ก เพิ่มระบบเบรค C-ABS


New Honda CB1300S ใหม่ ปี 2010 มอเตอร์ไซค์ Sports Tourer ปรับเล็ก เพิ่มระบบเบรค C-ABS
New Honda CB1300S ใหม่ปี 2010 ได้รับการอัพเกรดระบบห้ามล้อหรือเบรคเป็นแบบ C-ABS หรือ Combined Anti-lock Braking System ในขณะที่ในส่วนอื่นๆยังคงเหมือนเดิม CB1300S ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียง 1.3 ลิตร 113 แรงม้า โดยมีแรงบิดสูงสุดที่ 116 นิวตันเมตร ใช้โครงเหล็กตัวถังแบบ double cradle แฟริ่งครึ่งตัว ถังน้ำมันมีขนาด 21 ลิตร การที่มีระบบเบรค C-ABS เพิ่มเข้ามาย่อมทำให้มอเตอร์ไซค์ Sports Tourer รุ่นนี้สมบูรณ์แบบขึ้นไปอีก






Honda CB1300S ใหม่ ปี 2010 มอเตอร์ไซค์ Sports Tourer ปรับเล็ก เพิ่มระบบเบรค C-ABS
ที่มา: Honda [www.autospinn.com]

BMW 135i Coupe สปอร์ทคูเป้แต่ง Stage 2 จาก WSTO พร้อมคลิปวิดีโอ


BMW 135i Coupe สปอร์ทคูเป้แต่ง Stage 2 จาก WSTO พร้อมคลิปวิดีโอ
WSTO เคยปล่อยชุดแต่ง BMW 135i Coupe มาแล้วครั้งหนึ่งในเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่นั่นถือว่าเป็นขั้นแรกของการแต่งสปอร์ทคูเป้รุ่นนี้เท่านั้น ซึ่งในตอนนั้นทีมงาน WSTO ได้ทำการอัพเกรด 135i Coupe ด้วยการใส่บังโคลนหน้า ลิปสปอยเลอร์ฝากระโปรงหลัง กระจังหน้าทำสีใหม่ ชุดสปริง H&R ที่โหลดเตี้ยระดับความสูงรถ คันเร่งอลูมิเนียม ล้ออัลลอยใหม่ ทำการตั้งโปรแกรม ECU และระบบไอเสียแบบใหม่ สำหรับขั้นตอนที่ 2 นี้ WSTO ใช้ระบบไอเสียตามสเปคของอเมริกาจาก Bastuck ที่มีการทำปลายท่อใหม่และหุ้มด้วย diffuser คาร์บอนไฟเบอร์จาก 3D Design

นอกจากนั้นแล้ว WSTO ยังทำการทดแทนล้ออัลลอยสีดำขอบ 19 นิ้วของ Klassen (ซึ่งหุ้มด้วยยางของ Toyo) ด้วยล้ออัลลอยใหม่ขอบ 19 นิ้วจาก Advan RS เคลือบด้วยสีเหล็กปืน แต่ครั้งนี้ยางที่ใช้เป็นของ Yokohama รุ่น Advan AD08 ขนาด 225/35 R19 สำหรับล้อหน้าและขนาด 255/30 R19 สำหรับล้อหลัง

ที่มา: WSTO

New Nissan TIIDA Hatchback และ Latio กับความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร


New Nissan TIIDA Hatchback และ Latio กับความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร
ถ้าคุณกำลังจะตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ขนาดกะทัดรัดไม่ว่าจะเป็น Sedan หรือ Hatchback สักคันโดยมี Nissan TIIDA เป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ยังลังเลหรืออาจจะยังไม่ชัดเจนว่ารถรุ่นนี้เหมาะกับคุณแค่ไหน หรือมีอะไรที่แตกต่างจากที่รถรุ่นอื่นๆ ไม่มี และเป็นสิ่งที่คุณกำลังมองหาอยู่หรือไม่ ข้อสรุปต่อไปนี้อาจจะทำให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะเป็นการรวบรวมคุณสมบัติต่างๆ ที่โดดเด่นของ TIIDA ซึ่งพิเศษและไม่เหมือนใคร รวมถึงคุณสมบัติที่ถือว่าเป็นระดับท็อปที่มีอยู่เช่นกันกับรถบางรุ่นในระดับเดียวกัน หรือประมาณว่า Also on top of its class ซึ่งการที่สรุปเป็นข้อๆ ให้เห็นได้ชัดเจนและตรงจุด จะช่วยทำให้คุณรู้ว่า TIIDA ทั้ง Hatchback และ Latio ตอบโจทย์คุณหรือไม่!

คุณสมบัติที่มีอยู่ในเพียง Nissan TIIDA Hatchback และ Nissan TIIDA Latio เท่านั้น
1. กำลังเครื่องยนต์ 109 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 153 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที
ในเรื่องของกำลังเครื่องยนต์ที่ระดับ 109 แรงม้าอาจจะเท่ากับรถในระดับเดียวกันบางรุ่น แต่ถ้าเติมเรื่องของแรงบิดสูงสุดที่ 153 นิวตันเมตรเข้าไปแล้ว ทำให้ TIIDA Hatchback และ TIIDA Latio มีสมรรถนะสูงสุดในเชิงทฤษฎีขึ้นมาทันที
2. ช่องเก็บแว่นเหนือศีรษะ
สะดวกในการจัดเก็บและนำแว่นตามาใช้งานในขณะที่คุณกำลังขับรถ ไม่ทำให้เสียจังหวะในการควบคุมรถ และแน่นอนว่าปลอดภัยมากขึ้น
3. ที่วางแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้วน้ำ
4. แผงไฟหน้าปัดแบบ 3 Analogue Meter Cluster
5. ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
6. เบาะนั่งด้านหลังปรับเอนได้ถึง 40 องศา และปรับเอนได้ถึง 24 เซนติเมตร (เฉพาะ TIIDA Hatchback เท่านั้น)
7. ไฟตัดหมอกแบบ multi reflector (เฉพาะ TIIDA Latio เท่านั้น)

คุณสมบัติพิเศษอื่นๆ ของ TIIDA Hatchback และTIIDA Latio

นอกเหนือจากความโดดเด่นในด้านความกว้างสบายของห้องโดยสาร และวัสดุอุปกรณ์และการประกอบที่มีคุณภาพสูงแล้ว Nissan TIIDA Hatchback และ TIIDA Latio ยังมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัวประกอบการพิจารณาตัดสินใจของคุณอีก ดังนี้

TIIDA Hatchback
1. ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ECCS 32 บิท
อาจจะทำความเข้าใจยากสักหน่อยในเรื่องประสิทธิภาพความเร็วในการประมวลของระบบคอมพิวเตอร์หรืออิเล็กทรอนิกส์ว่ามันส่งผลกระทบอะไรบ้างกับชีวิตของคุณ แต่ TIIDA ใช้แบบ 32 บิท ในขณะที่รถบางรุ่นยังใช้แบบ 16 บิท
2. ไฟอ่านแผนที่คู่หน้า แยกสวิตช์ เปิด-ปิด
3. ระบบเบรคกันล้อล็อค ABS พร้อม EBD และ BA ซึ่งรถบางรุ่นจะมีเพียง ABS และ EBD

TIIDA Latio
1. สวิตช์ควบคุมระบบเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
2. เบาะด้านหลังแยกพับได้แบบ 60:40
3. วัสดุหุ้มเบาะเป็นหนังแท้และวัสดุหนังสังเคราะห์ ซึ่งรุ่นอื่นๆ บางรุ่นในท้องตลาดจะใช้วัสดุที่ทำจากผ้า
4. ถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า
อย่างไรก็ตามคุณสมบัติที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นก็คือ การเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง TIIDA Hatchback และ Latio กับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ในระดับเดียวกันที่มีอยู่ในท้องตลาด ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน(ที่ไม่มีการปรับเล็กหรือไมเนอร์เชนจ์ รวมถึงโปรโมชั่นพิเศษที่เพิ่มเติมเข้ามาในภายหลัง) อีกอย่างที่สำคัญก็คือคุณสมบัติต่างๆ เหล่านี้อาจจะตอบโจทย์ของแต่ละคนได้ในระดับที่ต่างกันซึ่งขึ้นอยู่กับความจำเป็น รสนิยม หรือแม้แต่ความสามารถในการขับขี่ ฉะนั้นข้อมูลเหล่านี้จึงเป็นการเปรียบเทียบในลักษณะของการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อช่วยในการตัดสินใจมากกว่าที่จะเป็นการฟันธงว่า การมีหรือไม่มีเป็นข้อเสียของรถยนต์แต่ละรุ่น
คิดว่าข้อมูลเหล่านี้น่าจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจออกมาอย่างไรครับ!

New Nissan TIIDA Hatchback และ Latio กับความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ nissan.co.th

New Volkswagen Scirocco R รถสปอร์ทคูเป้แรง


New Volkswagen Scirocco R รถสปอร์ทคูเป้แรง
Scirocco เป็นรถในตำนานอีกรุ่นหนึ่งที่มีอายุกว่า 35 ปี นับตั้งแต่เริ่มมีการผลิตในปี ค.ศ.1974 โดย Wilhelm Karmann GmbH บริษัทผู้ผลิตรถยนต์อิสระรายใหญ่ที่สุดในเยอรมันนี โดยในช่วงปี 1974-1992 ได้มีการผลิตออกมาทั้งสิ้น 2 เจนเนอเรชั่น จน Volkswagen เข้ามาทำการผลิตรถยนต์รุ่นนี้เองตั้งแต่ปลายปี 2008 เป็นต้นมา ซึ่งถือว่าเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 Scirocco จึงกลายเป็นรถในตำนานที่กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง นอกจากนั้นแล้วรูปทรงที่แตกต่างไม่เหมือนใครของสปอร์ทคูเป้รุ่นนี้ก็อาจจะโดนใจคนที่รักความต่างไม่เหมือนใคร ซึ่งถ้าใครได้เห็นคันจริงของรถรุ่นนี้แล้ว ก็ต้องบอกว่าสวยกว่าที่เห็นในภาพมาก และแน่นอนว่า Volkswagen ก็ได้นำเจ้า Scirocco คันนี้มาอวดโฉมในงาน Motor Expo 2009 ที่เมืองทองธานีในช่วงนี้เช่นกัน

ความคืบหน้าล่าสุดของสปอร์ทคูเป้รุ่นนี้ก็คือ Voklkswagen ได้ปล่อยภาพชุดใหม่ของ Scirocco R ใหม่ ที่กำลังจะโชว์ตัวสาธิตการขับที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส ออกมาเรียกน้ำย่อยเรียกแขกเพราะ Volkswagen แคร์สื่อ Scirocco R เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ TSI 4 สูบ 2.0 ลิตร 265 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 258 ปอนด์ฟุต และถ้าขับเคลื่อนผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ก็จะสามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลา 6.0 วินาที แต่ถ้าใช้ระบบเกียร์ DSG Dual Clutch ของ Volkswagen แล้ว อัตราเร่งก็จะดีขึ้นอีก 0.2 วินาที ใครที่ชอบรถรูปทรงท้ายตัดแบบ Hatchback ก็อาจจะหลงรักสปอร์ทคูเป้รุ่นนี้เข้าอย่างจังก็ได้!





ที่มา: Volkswagen[www.autospinn.com]

New Volkswagen Amarok รถกระบะปิกอัพ Made in Argentina เตรียมสู้ศึกในยุโรปและอเมริกาใต้ปีหน้า


New Volkswagen Amarok รถกระบะปิกอัพ Made in Argentina เตรียมสู้ศึกในยุโรปและอเมริกาใต้ปีหน้า
Volkswagen ได้ปล่อยภาพและรายละเอียดเวอร์ชั่นผลิตของรถกระบะปิกอัพรุ่นใหม่ล่าสุด Volkswagen Amarok ที่ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันในตลาดรถบรรทุกปิกอัพขนาด 1 ตัน โดยในช่วงแรก Amarok จะทำตลาดในเวอร์ชั่น Double Cab 4 ประตู โดยเวอร์ชั่น Single Cab จะมีการเปิดตัวตามมาหลังจากนั้นในปี 2011 โดย Amarok จะถูกผลิตขึ้นที่โรงงานของ Volkswagen ในเมืองบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า โดยจะเริ่มมีจำหน่ายในทวีปอเมริกาใต้ช่วงต้นปี 2010 และในยุโรปในช่วงครึ่งหลังของปีเดียวกัน Volkswagen ยังมีแผนจำหน่าย Amarok ในออสเตรเลียและแอฟริกาใต้ด้วยเช่นกัน แต่ยังไม่มีแผนในการจำหน่ายในอเมริกาเหนือ

Volkswagen Amarok ได้รับการออกแบบภายนอกให้ดูสมบุกสมบันสไตล์รถกระบะปิกอัพโดยแท้ ส่วนภายในมีการออกแบบคล้ายกับรถที่เน้นบรรทุกผู้โดยสารมากกว่า และเมื่อเปรียบเทียบกับรถแนวคิดที่เผยโฉมเมื่อปีที่แล้วในงานมอเตอร์โชว์ที่เมืองฮานโนเวอร์ ประเทศเยอรมันนี ก็ต้องบอกว่าแทบไม่มีอะไรที่แตกต่าง

Amarok มีพื้นที่บรรทุกสัมภาระได้มากถึง 1.15 ตัน มีน้ำหนักลากจูงสูงสุดที่ 2.8 ตัน และด้วยพื้นที่บรรจุสัมภาระถึง 2.52 ลูกบาศก์เมตร Amarok คือรถที่มีมิติของพื้นที่ความจุที่ใหญ่ที่สุดในบรรดารถระดับเดียวกันคือ มีความยาว 1,555 มิลลิเมตร และกว้าง 1,620 มิลลิเมตร

ขุมกำลังของ Volkswagen Amarok มี 2 ชนิด คือ เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล TDI 2.0 ลิตร ให้กำลัง 163 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร และรุ่นกำลัง 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 340 นิวตันเมตร โดยเครื่องยนต์ดีเซลทั้งสองชนิดนี้มีสเปคตรงตามมาตรฐาน Euro 5 โดยชับเคลื่อนผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ

ในเรื่องของระบบขับเคลื่อนนั้นจะเป็นแบบขับเคลื่อนล้อหลังและขับเคลื่อนทุกล้อ 4MOTION All-Wheel-Drive ที่เป็นแบบ Switchable หรือ Permanent โดยระบบขับเคลื่อน All-Wheel-Drive แบบ full time จะใช้ differential ของ Torsen ที่กระจายการขับในอัตรา 40:60 ไปยังเพลาหน้าและหลัง ในขณะที่ระบบล็อก differential หลังมีให้เลือกเป็น option

Volkswagen เผยว่าสำหรับเวอร์ชั่น 4×4 เครื่องยนต์ดีเซล TDI 122 แรงม้า จะซดน้ำมันเพียง 7.6 ลิตร/100 กิโลเมตร ในขณะที่รุ่นกำลัง 163 แรงม้า กินน้ำมัน 7.8 ลิตร/100 กิโลเมตร และด้วยความจุถังน้ำมันที่ 80 ลิตร Amarok มีระยะทางทำการเกิน 1,000 กิโลเมตร

ในปีหน้าที่จะเริ่มจำหน่าย Amarok มี 3 รุ่นย่อยให้เลือก โดยรุ่นแรกที่เป็นรุ่นพื้นฐานจะไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ใช้ระบบไฟฟ้า เรียกว่าควบคุมด้วยมือล้วนๆ ส่วนกันชนหน้า ที่จับประตู และกระจกมองข้างไม่มีการทำสีใดๆ ล้อก็ใช้ล้อเหล็กขอบ 16 นิ้ว

ขยับขึ้นมาอีกรุ่นคือ รุ่น Trendline รุ่นนี้จะมีการทำสีกันชนหน้า ที่จับประตูและครอบกระจกมองข้าง ใช้ระบบไฟฟ้าควบคุมม่านกระจก ล็อคประตูและกระจกมองข้าง นอกจากนั้นยังมีเครื่องเล่น CD ระบบควบคุมอากาศภายใน ล้อทำด้วยวัสดุอัลลอยขอบ 16 นิ้ว มีจอแสดงผลแบบ Multi-Functional ระบบ cruise control และไฟตัดหมอก

รุ่นท็อปสุดคือ รุ่น Highline ที่มีการอัพเกรดขึ้นไปอีกด้วยครอบกระจกมองข้างโครเมี่ยม แต่งลายภายนอกและภายในด้วยชุดโครเมี่ยม ขยายบังโคลนเพื่อรองรับล้ออัลลอยขอบ 17 นิ้ว นอกจากนั้นแผงหน้าปัดยังมีการใช้สีตัดกันเพิ่มความหรูหราภายใน ระบบควบคุมอากาศแบบอัตโนมัติ Climatronic ตกแต่งด้วยเครื่องหนัง ระบบเครื่องเสียงระดับไฮเอนด์ ชุดหุ้มเบาะทำด้วยวัสดุผ้าชนิดพิเศษ

ราคาของ Volkswagen Amarok จะมีการยืนยันในช่วงก่อนการปล่อยออกสู่ตลาดครับ
New Volkswagen Amarok รถกระบะปิกอัพ Made in Argentina
ที่มา: Volkswagen
เคดิตจาก[http://www.autospinn.com ]

Ford Fiesta Van ECOnetic ใหม่ รถเล็กเชิงพาณิชย์ประหยัดน้ำมัน เปิดตัวแล้วที่อังกฤษ


Ford Fiesta Van ECOnetic ใหม่ รถเล็กเชิงพาณิชย์ประหยัดน้ำมัน เปิดตัวแล้วที่อังกฤษ
ในขณะที่ประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา Ford เพิ่งเปิดตัว Fiesta ใหม่ไปหมาดๆ แต่ทางฝั่งเกาะอังกฤษ Ford ประเทศอังกฤษได้ขอแซงหน้าโดยการเปิดตัว Fiesta Van ECOnetic เวอร์ชั่นสำหรับผู้โดยสารของ Fiesta ใหม่ไปแล้วแม้ว่ารูปทรงจะไม่ดูเป็นรถเชิงพาณิชย์หรือเน้นการบรรทุกผู้โดยสารก็ตาม รถในตระกูล Van ของ Ford นี้เป็นเวอร์ชั่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประหยัดน้ำมัน ส่วนราคามีการตั้งไว้ที่ 11,635 ปอนด์ โดย Fiesta Van ECOnetic ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ดีเซล TDCi 1.6 ลิตร พร้อมตัวกรองอนุภาคดีเซล และมีการอัพเกรดจากรุ่นมาตรฐานในหลายส่วน

การอัพเกรดต่างๆได้แก่ ระบบกันสะเทือนที่มีการโหลดเตี้ยลง มีการใช้ air deflector ที่ล้อหลัง ล้ออัลลอยขอบ 14 นิ้ว 6 ก้านพร้อมครอบล้อลู่ลม ยางต้านทานการหมุนต่ำขนาด 175/65 R14 มีการปรับแต่งเครื่องยนต์และอัตราทดเกียร์ที่สูงขึ้น

Ford เผยว่า Fiesta Van ECOnetic มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 76.3 ไมล์/แกลลอน ตามมาตรฐานยุโรป หรือประมาณ 3.7 ลิตร/100 กิโลเมตร โดยมีอัตราการปล่อย CO2 สู่อากาศที่ 98 กรัม/กิโลเมตร


Steve Kimber ผู้อำนวยการรถยนต์เชิงพาณิชย์ของ Ford ประเทศอังกฤษเผยว่า Fiesta Van รุ่นใหม่ได้รับความสำเร็จอย่างมากในปัจจุบันและการที่มี Fiesta Van ECOnetic เพิ่มเข้ามาอีกก็จะยิ่งทำให้เพิ่มความแข็งแกร่งในตลาดของ Ford ขึ้นไปมากขึ้น โดยบริษัทฯคาดว่าจะจำหน่ายรถประหยัดน้ำมันรุ่นนี้ได้ถึง 2,500 คันต่อปี

ที่มา: New Ford UK

Volkswagen Up! Lite รถไฮบริดแนวคิด เครื่องยนต์ดีเซล-ไฟฟ้า อวดโฉมที่ LA Auto Show


Volkswagen Up! Lite Concept
Volkswagen Up! Lite รถไฮบริดแนวคิด เครื่องยนต์ดีเซล-ไฟฟ้า อวดโฉมที่ LA Auto Show
ที่บูธแสดงรถยนต์ของ Volkswagen ดาวเด่นคงหนีไม่พ้นรถไฮบริดแนวคิดอย่าง Volkswagen Up! Lite รถ 3 ประตู 4 ที่นั่งในอนาคตของบริษัทฯที่มีน้ำหนักเพียง 695 กิโลกรัม ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 0.8 ลิตร 51 แรงม้าและมอเตอร์ไฟฟ้า 13 แรงม้า Up! Lite เป็นรถแนวคิดเจนเนอเรชั่นที่ 5 ของตระกูล Up! โดยมีความเร็วสูงสุดที่ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถทำได้ภายในเวลา 12 วินาที

แม้ว่างานนี้ Volkswagen ให้ตัวเลขอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่สับสนคือ 2.44 ลิตร/100 กิโลเมตรสำหรับยุโรป(เท่ากับ 96.6 ไมล์/แกลลอนสำหรับหน่วยวัดของสหรัฐอเมริกา) และ 70 ไมล์/แกลลอน(นอกเมือง)สำหรับอเมริกา แต่ก็ถือว่า Volkswagen Up! Lite รุ่นนี้ประหยัดน้ำมันสุดๆ

Volkswagen เผยว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะนำ Up! Lite เข้าสู่สายการผลิตภายใน 3-4 ปีข้างหน้าโดยใช้ส่วนประกอบต่างๆจากรถในตระกูลขนาดเล็กของบริษัทฯและคาดว่าจะเริ่มปล่อยสู่ตลาดได้ภายในสิ้นปี 2011

ที่มา: Volkswagen

ใหม่แกะกล่อง Luxgen7 รถ SUV จากไต้หวัน เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร 180 แรงม้า


ใหม่แกะกล่อง Luxgen7 รถ SUV จากไต้หวัน เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร 180 แรงม้า
เป็นที่ทราบกันดีว่า ในปัจจุบันประเทศจีนมีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์มากมาย แต่สำหรับบริษัทรถยนต์จากจีนไทเปหรือไต้หวัแล้ว เราอาจจะไม่คุ้นหู ล่าสุด Luxgen Motor ในเครือ Yulon Group จากประเทศไต้หวันได้เปิดตัวรถยนต์ Luxgen รุ่น Luxgen7 รถ SUV ที่ดูหรูหราและมีขนาดใกล้เคียงกับ Porsche Cayenne ซึ่งขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์เทอร์โบ 2.2 ลิตร ให้กำลัง 180 แรงม้า มีทั้งขับเคลื่อนล้อหน้าและทุกล้อแบบ All-Wheel-Drive โดยในขณะนี้ Lexus ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดมากนัก บอกแค่ว่า Coming Soon!

SUV LUXGEN
ที่มา: Luxgen

รายการบล็อกของฉัน