เบื้องต้นข้อมูลรถใหม่ TOYOTA Mitsubishi Nissan Honda

New Mazda มองข้ามช็อท เตรียมส่ง Mazda 2 ร่วมทดสอบพัฒนารถไฟฟ้าที่ี่ญี่ปุ่นต้นปีหน้า


New Mazda มองข้ามช็อท เตรียมส่ง Mazda 2 ร่วมทดสอบพัฒนารถไฟฟ้าที่ี่ญี่ปุ่นต้นปีหน้า
Mazda ได้ประกาศเข้าร่วมโครงการร่วมหรือ Joint Project ในการทดสอบรถพลังงานไฟฟ้าที่มีบริษัท Th!nk จากประเทศนอร์เวย์ Seiko และ Nippon Car Solutions จากประเทศญี่ปุ่นเข้าร่วมการทดสอบด้วย งานนี้ Mazda ส่งรถลูกรักคนใหม่อย่าง Mazda 2 หรืออีกชื่อในประเทศญี่ปุ่นว่า Demio เข้าร่วมโครงการโดยจะเปลี่ยนสภาพของ Mazda 2 จากรถยนต์ไปเป็นรถไฟฟ้า เพื่อที่จะเก็บข้อมูลรายละเอียดทางเทคนิคของรถและทำการประเมินสมรรถนะของรถไฟฟ้าดังกล่าวเพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนารถไฟฟ้าต่อไป โครงการดังกล่าวจะเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคมปีหน้าที่เมืองซึกุบะใกล้กรุงโตเกียวครับ


ที่มา: New Mazda

Lamborghini Gallardo LP560-4 ทั้งหล่อดำด้าน ทั้งแรงด้วยม้า 620 ตัว สรรสร้างโดย ENCO Exclusive


Lamborghini Gallardo LP560-4 ทั้งหล่อดำด้าน ทั้งแรงด้วยม้า 620 ตัว สรรสร้างโดย ENCO Exclusive
Lamborghini Gallardo เป็นรถที่ขายดีที่สุดของค่ายกระทิงดุ ได้รับการออกแบบโดยนักออกแบบชาวเบลเยี่ยมที่ชื่อ Luc Donckerwolke ในปี 2003 โดยถือว่าเป็นผลการออกแบบซุปเปอร์คาร์ชิ้นโบว์แดงที่หาคนเปรียบได้ยากจนเป็นส่วนสำคัญให้รถรุ่นนี้ขายดีและยกระดับให้ Lamborghini สูงขึ้นไปอีก แม้แต่ซุปเปอร์คาร์รุ่นพี่อย่าง Murcielago ที่เกิดก่อน 2 ปี ต้องปรับการออกแบบใหม่โดยยอมเดินตามการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์สุดๆของซุปเปอร์คาร์แห่งยุคอย่าง Gallardo

มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สำนักแต่งรถนิยมนำเอาซุปเปอร์คาร์สุดฮ็อตตลอดกาลอย่าง Gallardo มาแต่งแล้วแต่งอีก ล่าสุด ENCO Exclusive สำนักแต่งจากเยอรมันนี้ได้ออกชุดแต่งโฉมและสมรรถนะของ Lamborghini Gallardo LP560-4 ออกมาให้เศรษฐีรักความเร็วเตรียมทุบกระปุกออมสินแพนด้าน้อยกันอีกครั้ง

ชุดแต่งโฉมภายนอกประกอบด้วยกันชนหน้า(2,990 ยูโร) ครอบท้ายรถ(3,990 ยูโร) splitter หน้า(990 ยูโร) สเกิร์ตด้านข้าง(3,990 ยูโร) นอกจากนั้นยังมีการทำลามิเนตคาร์บอนไฟเบอร์สำหรับ diffuser หลัง กระจกข้าง ช่องอากาศฝากระโปรงท้าย(4,000 ยูโร) และการทำหุ้มฟอยล์สีดำด้าน(3,000 ยูโร)

ภายในมีการแต่งลายด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์บริเวณพวงมาลัย คอนโซลกลาง แผงหน้าปัด เบรคมือ และที่จับประตู(5,000 ยูโร)
สำหรับรายละเอียดทางด้านสมรรถนะมีไม่มากนัก เครื่องยนต์ V10 5.2 ลิตร ได้รับการปรับแต่งให้กำลัง 620 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 575 นิวตันเมตร จากสเปคเดิมที่มาจากโรงงานคือ 560 แรงม้า และ 540 นิวตันเมตรตามลำดับ

ที่มา: ENCO Exclusive

เตรียมตัวพบกับข้อเสนอสุดพิเศษ และการเปิดตัวครั้งแรกรถยนต์รุ่นล่าสุดของนิสสันใน Motor Expo 2009


เตรียมตัวพบกับข้อเสนอสุดพิเศษ และการเปิดตัวครั้งแรกรถยนต์รุ่นล่าสุดของนิสสันใน Motor Expo 2009
อีกไม่กี่วันแล้วมหกรรมยานยนต์ที่เหล่าคนรักรถรอคอยอย่าง Motor Expo 2009 ก็จะมาถึงแล้ว ซึ่งคุณจะได้พบได้สัมผัสกับ นิสสัน ภายในงานด้วยอย่างแน่นอน นำทีมมาด้วย Nissan TIIDA ใหม่ที่จะมาให้คุณได้ลองสัมผัสประสบการณ์จริงกับความกว้างภายในห้องโดยสาร ทดสอบสมรรถนะ และประทับใจกับดีไซน์ใหม่ที่ดึงดูดใจจนยากจะปฏิเสธ

นอกจากนั้นคุณยังจะได้พบกับความสดใหม่จากรถรุ่นต่างๆ ของนิสสัน ซึ่งจะเผยความสดใหม่เป็นครั้งแรกใน Motor Expo 2009 ครั้งนี้อีกด้วย ได้แก่
Nissan Teana รุ่น 200 XL Sport Series และรุ่น 250 X-V6 (Sunroof and Curtain Airbags) Navi Sports Series ซึ่งความใหม่ที่คุณจะได้พบ ได้แก่

ภายในสีดำ
กระจังหน้ารมดำ สะท้อนรสนิยมหรูสไตล์สปอร์ต
สเกิร์ตข้าง เสริมสไตล์ในแบบที่เป็นคุณ
สปอยเลอร์หลัง อีกระดับของความสปอร์ต ให้การทรงตัวที่ดีกว่า
เนวิเกเตอร์พร้อมกล้องมองหลัง

และที่พิเศษสุด คุณจะได้เป็นคนกลุ่มแรกในประเทศไทยที่ได้สัมผัสกับยนตรกรรมชั้นเยี่ยมน้องใหม่จากนิสสัน Nissan X-Trail ใหม่ รถยนต์อเนกประสงค์ SUV รุ่นล่าสุด การันตีด้วยยอดขายอันดับ 1 ถึง 7 ปีซ้อน ในตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ SUV ประเทศญี่ปุ่น

Nissan X-Trail ใหม่ มาพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย แบบเดียวกับของเทียนารุ่นใหม่ 2.0 ลิตร เครื่องยนต์ MR20DE 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที พร้อมระบบวาล์วแปรผัน CVTC ช่วยให้ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น และระบบเกียร์แปรผันอัจฉริยะ XTRONIC CVT ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ทำให้รู้สึกถึงการเปลี่ยนเกียร์ ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลภายใต้สมรรถนะเต็มเปี่ยม ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ขับสนุกยิ่งขึ้นด้วย Manual Mode 6 Speed คุ้มค่ากับทุกการเดินทางอย่างมีสไตล์

โดดเด่นด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กับโครงสร้างรูปตัว X แบบ X-Construction ให้ความแข็งแกร่ง เท่ มีสไตล์ ลงตัวกับตัวถัง พร้อมกระจังหน้าใหม่สีเดียวกับตัวถัง จรดไฟท้ายด้านหลังแบบ 3 มิติ เพิ่มความพิเศษยิ่งขึ้นด้วยล้อแม็กลายสปอร์ต
ภายในห้องโดยสารและที่เก็บสัมภาระได้รับการออกแบบอย่างชาญฉลาด ให้เกิดอรรถประโยชน์สูงสุดในการใช้งานที่หลากหลาย กับห้องเก็บสัมภาระด้านหลังดีไซน์รูปทรงสี่เหลี่ยมเพื่อเพิ่มขนาดในการจุของได้สูงสุดถึง 603 ลิตร ทั้งยังสามารถพับจัดเรียงใหม่ได้ตามความต้องการ ล้ำสมัยด้วยลิ้นชักที่เก็บสัมภาระด้านท้ายช่วยเพิ่มประโยชน์ในการใช้งาน พร้อมด้วยช่องเก็บของภายในรถมากมายเพิ่มความสะดวกสบายยิ่งขึ้น พิเศษสุดที่วางแก้วน้ำบริเวณคนขับ ผู้โดยสารด้านหน้า และผู้โดยสารด้านหลัง พร้อมระบบรักษาความเย็น

2 – 13 ธันวาคม นี้ อย่าลืมไปสัมผัสกับนิสสันกันให้ได้นะครับ ในงาน Motor Expo 2009 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nissan.co.th

reporters เรียนรู้เทคนิคขับรถเอาตัวรอดยามฉุกเฉิน

reporters เรียนรู้เทคนิคขับรถเอาตัวรอดยามฉุกเฉิน

ขับรถลุยฝน…ยิ่งเร็วยิ่งเสี่ยง…เบรกพรวดมีปัญหา
เป็นคนไทยอยู่เมืองไทย คงจะหนีฤดูฝนอันยาวนานไม่ได้ เชื่อว่าน้อยคนนักที่ชอบการขับขี่รถท่ามกลางสายฝน
เพราะนอกจากทัศนะวิสัยจะไม่ดีแล้ว โอกาสเกิดอุบัติเหตุยังสูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณตั้งมั่นอยู่ในความประมาท

หลีกเลี่ยงไม่ได้ยามฝนตกหรือหลังฝนหยุดตกใหม่ ๆ ที่จะมีการขังของน้ำตามจุดต่าง ๆ บนผิวถนน
อุบัติเหตุบนท้องถนนหลายครั้งเกิดจากน้ำขัง
การวิ่งด้วยความเร็วสูงผ่านแอ่งน้ำ จะทำให้เกิดอาการล้อแฉลบหรือเรียกว่าการเหิรน้ำ
ซึ่งจะทำให้รถสูญเสียการทรงตัว ทางเดียวในการแก้ไขก็คือ อย่าตกใจ และต้องไม่กระแทกเบรกลงไปอย่างรุนแรง
โดยให้ทำการควบคุมรถให้อยู่ในเส้นทางให้ได้มากที่สุด
แต่ทางที่ดีที่สุดก็คือ การป้องกัน โดยไม่ขับรถเร็วผ่านแอ่งน้ำที่ขังอยู่

การใช้เบรกก็เช่นกัน หากรถคุณไม่มีระบบเบรกเอบีเอส ไม่ควรขับขี่แบบที่ต้องมีการเบรกกระทันหัน
หรือหากจำเป็นควรเบรกแบบกดปล่อยกดปล่อย ซึ่งแน่นอนระยะทางในการเบรกต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
แต่รถคุณก็จะไม่ไถลจนสูญเสียการทรงตัว
และถ้าใครรู้สึกว่าหลังลุยฝนแล้วเบรกลื่น ๆ ก็ให้ย้ำเบรกบ่อย ๆ เพื่อให้ผ้าเบรกร้อนหรือแห้ง


รถดับกลางน้ำท่วม…ทำยังไงดี
กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับเมืองไทย ที่ฝนตกแล้วต้องน้ำท่วม บางครั้งเราต้องขับรถลุยน้ำก้นครึ่งค่อนล้อ
รถสวนน้ำกระเฉาะเข้าห้องเครื่อง แล้วจู่ ๆ เครื่องก็ดับเอาดื้อ ๆ งานนี้จะไปต่อต้องเปียกอย่างเดียวเลยครับ

เหตุที่รถดับเอาดื้อ ๆ ก็เพราะน้ำเข้าไปในเครื่อง จานจ่ายก็เปียกจนหยุดทำงาน
ทางเดียวที่สามารถทำได้เมื่อเครื่องดับก็คือ เข็นรถหลบไปในที่แห้ง ๆ ข้างทาง
ใช้ผ้าแห้งซับที่คอยล์ และจานจ่ายให้แห้ง ให้มั่นใจนะครับว่าแห้งดีแล้ว ลองสตาร์ทดูใหม่อีกครั้ง
แต่ถ้าไม่ติดก็คงต้องพึ่งบริการรถลากกันล่ะครับ
ส่วนทางป้องกันง่ายที่สุดก็คือ หลบเลี่ยงเส้นทางที่น้ำท่วมขัง
หรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็อาจหาถุงพลาสติกมาครอบจานจ่าย เพื่อไม่ให้น้ำเล็ดลอดเข้าไปได้


วิ่ง ๆ อยู่รถดับ…ใจเย็น ๆ อย่าตกใจ
กรณีนี้ก็มีให้เห็นกันบ่อย วิ่ง ๆ อยู่เครื่องยนต์เกิดดับเอาดื้อ ๆ อันดับแรกอย่าเพิ่งตกใจหรือสงสัยอะไรนะครับ
คิดเสียว่าของมันเป็นกันได้ รีบเหยียบคลัทช์ค้างเอาไว้
ส่วนเกียร์อัตโนมัติให้เลื่อนมาที่ตำแหน่ง N เพื่อปลดเฟืองเกียร์ เพราะเกียร์อาจพังได้
จากนั้นค่อย ๆ เหยียบเบรก ขอเน้นนะครับว่าค่อย ๆ เหยียบ หากแกระแทกไปทีเดียวเต็ม ๆ ได้หัวทิ่มกันแน่
และอย่าลืมเปิดไฟฉุกเฉินเพื่อให้สัญญาณรถคันอื่นว่าเรามีปัญหา
ค่อย ๆ ควบคุมพวงมาลัยนำรถเข้าจอดหลบข้างทาง

จอดรถสนิทแล้ว ก็ลองสตาร์ทดูอีกครั้ง ถ้าติดก็แล้วไป
แต่ถ้าไม่ติด รถเกียร์ธรรมดาคงต้องหาคนมาช่วยเพื่อเข็นสตาร์ท
(เข้าเกียร์แนะนำว่าให้เป็นกียร์ 2หรือ3 – เหยียบคลัทช์ –ให้คนเข็น – ความเร็วพอเหมาะปล่อยคลัทช์เหยียบคันเร่ง
สำหรับเกียร์อัตโนมัติใช้วิธีนี้ไม่ได้)
ถ้ายังไม่ติดอีก ก็ลองเปิดฝากระโปรงหน้าเช็คขั้วและสายไฟแบตเตอรี่ว่าแน่นหรือไม่ ขยับหัวเทียน
เช็คคอยล์และจานจ่ายว่ามีน้ำขังหรือซึมหรือไม่ ลองสตาร์ทใหม่ ถ้ายังไม่ติดอีก หาเบอร์โทรช่างล่ะครับทีนี้



เครื่องร้อนจัด…โอเวอร์ฮีต
ไม่ว่าจะเป็นเพราะหม้อน้ำพร่อง ระบบระบายอากาศรถบางรุ่นที่ไม่เหมาะสมกับเมืองไทย
เมื่อเข็มอุณหภูมิบนหน้าปัดสูงผิดปกติ จนใกล้หรือเข้าขีดแดง หรือมีอาการเครื่องยนต์กำลังตก นั่นก็คือ
เครื่องยนต์รถของคุณกำลังร้อนจัด รีบปิดแอร์-วิทยุ เปิดกระจก ดูอาการสักพักว่าเป็นอย่างไร
ความร้อนลดลงหรือไม่ แต่ถ้าร้อนจัดจนไอน้ำพุ่งออกมาจากหม้อน้ำ ทีนี้ก็ต้องชะลอรถจอดอย่างเดียว
อย่าลืมปิดแอร์-วิทยุเช่นกัน เมื่อรถจอดสนิทปลดเกียร์ว่าง ปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาสักครู่จึงดับเครื่อง

อย่าเพิ่งรีบร้อนเปิดฝากระโปรงหน้า เพราะไอน้ำนั่นร้อนสุด ๆ รอให้ไอน้ำหยุดพุ่งหรือหมดไปก่อน
เปิดฝากระโปรงแล้วก็อย่าเพิ่งเปิดฝาหม้อน้ำ หากรีบเปิดน้ำในหม้อน้ำพุ่งทะลักออกมาลวกได้
ต้องรอให้หม้อน้ำเย็นก่อน ซึ่งอาจใช้น้ำค่อย ๆ ราดรดหม้อน้ำก็ได้ เพื่อให้เย็นเร็ว ๆ จากนั้นก็เปิดฝาเติมหม้อน้ำ
ถ้ายังไม่หายโอเวอร์ฮีตอีกก็ต้องเข้าศูนย์กันล่ะครับ หรือถ้าหายก็ควรให้ช่างตรวจเช็คหลังจากนี้เพื่อความแน่ใจ

ส่วนกรณีเบรกแตก ก็ต้องอาศัยความใจเย็นอีกเช่นกัน ลองกระทืบเบรกซ้ำ
ไม่ได้ผลให้ลดระดับเกียร์ลงมาที่ละขั้น เพื่อให้เอนจิ้นเบรก เมื่อรถชะลอแล้วค่อย ๆ ดึงเบรกมือในการช่วยหยุด


reporters เรียนรู้เทคนิคขับรถเอาตัวรอดยามฉุกเฉิน
ที่มา สว่างแสงธรรม กู้ภัย 01

reporters เทคนิคปรับปรุงการติดตั้ง power amp ในรถยนต์ ให้ดีขึ้น

reporters เทคนิคปรับปรุงการติดตั้ง power amp ในรถยนต์ ให้ดีขึ้น
ถ้าคุณต้องการติดตั้ง power amp ที่มากกว่า 1 นั้น จำเป็นจะต้องดูถึงอะไรบ้าง เริ่มต้นก็คือ
มองหาสาย battery power แบบ heavy-gauge power cable ซึ่งจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่จำเป็นร่วมด้วย นั่นคือ
distribution block เพื่อให้สามารถทำการเชื่อมต่อสาย power เข้ากับ block เพื่อเชื่อมต่อเขากับ amp แต่ละตัว แต่ก็
ต้องระวัง เพราะเสียงรบกวนก็อาจเกิดขึ้นได้จากจุดนี้ ดูและใส่ใจรายละเอียดในการติดตั้งในส่วนนี้ให้มากหน่อย
ก็จะลดปัญหาที่เกิดขึ้นในภายหน้าได้อีกเยอะครับ
และต้องแน่ใจว่า เลือกชนิด และขนาดของสายได้อย่างเหมาะสมกับ ขนาด และการใช้งานของตัวpower amp ด้วย
และควรเผื่อไว้สำหรับอนาคตด้วย หากอยากเพิ่มอะไรเข้าไป



Grounding multiple components:
ถ้า คุณมีส่วนประกอบหลายส่วนในระบบคุณ อาจจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้ครับ distribution block สำหรับเชื่อมต่อ
และจัดการกับสาย ground เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับสาย ground หลัก ซึ่งควรมีขนาดใหญ่ครับ
และสำหรับการ ground แบบแต่ละจุดนั้น ก็ไม่ควรที่สาย ground นั้นจะห่างกันเกินครึ่งนิ้ว ระหว่างจุด ground กับ
power amp และดีที่สุดควรตรวจเช็คว่า ground แต่ ละจุดนั้น ต่อเชื่อถึงกันหรือไม่
เพราะหากมีจุดใดไม่ต่อเชื่อมกับตัวถังรถยนต์แล้ว ก็อาจเกิดปัญหาขึ้นมาได้ซึ่งก็จะยากแก่การแก้ไขในภาคหน้า


Turning on multiple components:
และ ถ้าคุณใช้งานหลายส่วนประกอบ คุณก็ควรที่จะใช้งานสิ่งนี้เข้าไปด้วยครับ นั่น คือ Relay
เพื่อเป็นการป้องกันตัว reciver ในรถยนต์ เพราะตัวสาย power antenna lead ในรถยนต์สามารถจ่ายกระแส
และแรงดันได้ค่อนข้างต่ำ และถ้าตัวระบบที่เพิ่มเติมเข้าไปในรถยนต์ไม่ว่าจะเป็น pre amp , power amp หลายตัว
หรือมีขนาดกำลัง watt ที่มากก็จะทำให้การจ่ายกระแสมากขึ้นตามไปด้วย และตัว supply ของ reciver เอง
อาจทนไม่ไหวและร้อนจนพังไปในที่สุด ซึ่งกว่าจะหาสาเหตุเจอก็หน้ามืดไปตาม ๆกัน


Power demands of a multi-amp system:
ถ้า ระบบเครื่องเสียงในรถยนต์ถูกออกแบบมาให้สามารถรองรับ load ได้มากพอสมควรในระดับหนึ่ง
แต่ถ้าโชคไม่ดีระบบ power ในรถบางคันก็ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อที่จะรองรับการใช้งานที่เกินความจำเป็น
อย่างเช่น การเพิ่มเติมระบบเสียงเข้าไปในรถยนต์ ก็อาจเพิ่มและสร้างปัญหาให้กับระบบไฟฟ้าในรถยนต์ได้ด้วย
แต่ถ้าจะให้ดีก็ทำการวัดกระแสและแรงดัน ที่จ่ายออกมาจากระบบให้แน่นอนเสียก่อนดีกว่า
ว่าสามารถจ่ายกระแสออกมาได้เต็มที่เท่าไหร่ หรือดูเอาที่ป้ายที่ติดมากับรถก็ ได้เผื่อว่าจะมีค่าต่าง ๆ บอกมาให้ว่า
สามารถจ่ายกระแสได้เท่าไร เพื่อที่จะได้สามารถคำนวนการใช้งานของ power ที่จะจ่ายให้กับ power amp
หรืออุปกรณ์อื่น ๆได้อย่างไม่มีปัญหา

alternator นั้นมีความสำคัญกับการติดตั้งเครื่องเสียง ในรถยนต์เป็นอย่างมาก เพราะจะเป็นตัวกำหนดว่า
คุณสามารถที่จะใช้งานpower amp ในการติดตั้งเข้าไปในรถยนต์ได้มากน้อยเพียงไร
ซึ่งมีค่าของกระแสที่ใช้งานอยู่ประมาณ 40 % นี่เป็นการประมาณคร่าว ๆ
ส่วนที่เหลือนั้น เป็นส่วนที่เราสามารถนำมาใช้งานได้กับการติดตั้งในระบบ เครื่องเสียงรถยนต์ ซึ่งต้องนำมา
คำนวนจากระบบที่เรา ได้ทำการออกแบบไว้ว่า จะต้องใช้งาน power amp เท่าไรที่จะสามารถใช้งานได้
จากค่ากระแสที่เหลือจากการประมาณการไว้ล่วงหน้า สำหรับการนำมาติดตั้ง ระบบเสียง

และสุดท้าย ให้ทำการเปรีบยเทียบกับ power amp ทั้งหมด
เพื่อหาค่าที่ใกล้เคียงที่สุดสำหรับรองรับระบบเสียงที่เราจะเพิ่มเติมเข้าไปไม่ว่าจะเป็น power amp หลายตัวหรือ
ส่วนอื่น ๆ ก็ตาม เพื่อให้สามารถรองรับกับกำลังงานที่จะสามารถจ่ายออกมาได้อย่างเต็มที่
และไม่มีปํญหาเกี่ยวกับระบบ electrical system ตามมา

แต่ถ้าจำนวน power amp ที่คุณต้องการนั้นมีมากกว่า ที่ทำการคำนวณจากข้างบนแล้ว
คุณต้องหา alternator ที่สามารถจ่ายกระแสได้ประมาณ 65 amperes เพื่อให้พอเพียงกับ power amp ขนาด
270 X 2 watts RMS เท่านั้น แต่ถ้าต้องการเพิ่มเติม power amp เข้าไปได้อีกชุดหนึ่ง แต่รถยนต์ขนาดเล็กส่วนมาก
สามารถให้กระแสได้แค่ 35 amppares เท่านั้น นั่นก็คือสามารถใช้งานได้กับ power amp ขนาดแค่ 150 x 2 เท่านั้น
แต่ถ้าต้องการให้ใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหาแล้ว จำเป็นต้องใช้กระแสสูงถึง 145 amp สำหรับ power amp ขนาด
600 X 2 watt แต่ถ้าต้องการ power amp ที่มีค่ากำลัง watt มากกว่านี้แล้วละก็ คงต้องมองหา alternator ที่สามารถ
จ่ายกำลังงานได้มากกว่านี้ ( higher output )


Capacitor

และ ทางหนึ่งที่จะสามารถเพิ่มเติม effective solution ของการ installing และ ค่ากระแสให้พอเพียงสำหรับระบบ
ที่เพิ่มมากขึ้นนั้น ก็คือการใส่อุปกรณ์ที่เรียกว่า capacitor ซึ่งเป็นแบบ Heavy-duty capacitors เพราะ cap นั้น
สามารถชารต์ไฟได้เร็ว และสามารถรีชารต์ได้เร็วอีกด้วย เพื่อถนอมตัว battery ของรถยนต์ได้อีกทางหนึ่ง
โดยต่อเชื่อมมาจาก power cable ก่อนที่จะมาเข้า power amp
ซึ่งจะช่วยให้ระบบเสียงทั้งหมด มีกำลังสำรองมากยิ่งขึ้น และยังช่วยลดการอาการ amplifier's peak ซึ่งยังทำให้
เสียง bass ที่ได้นั้นชัดเจน และเป็นตัวเป็นตนมากยิ่งขึ้น (like a kick drum beat)
แค่นี้คุณก็สามารถใช้งาน battery ตัวเก่าได้อย่างสบายใจแล้วครับ โดยก่อนที่จะทำการติดตั้ง
ก็ให้ร้านที่จะทำการติดตั้ง ทำการคำนวนค่ากระแส และแรงดันที่เหมาะสมกับชุดที่จะใช้งาน
และกับระบบไฟในรถยนต์ ของเราด้วย โดยเฉพาะการเลือกสาย power cable เพราะยิ่งสายใหญ่มากเท่าไร
ก็ยิ่งราคาแพงมากขึ้น โดยบางครั้งแทบไม่มีความจำเป็นต้องใช้สายเบอร์ 2 หรือ 4 เลยครับ สำหรับรถที่ใช้งาน
power ampตัวเดียว อ้อเลือกดู spec ที่สายด้วยน่ะครับว่า สามารถรองรับค่ากระแสทั้งหมดได้เท่าไร


reporters เทคนิคปรับปรุงการติดตั้ง power amp ในรถยนต์ ให้ดีขึ้น
ที่มา cmcaraudio.net

reporters เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน...ทำอย่างไรดี

reporters เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน...ทำอย่างไรดี
เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน ไม่ว่าเราจะเป็นคนขับ ผู้โดยสารหรือผู้เห็นเหตุการณ์ เราควรปฎิบัติอย่างไร

1. ถ้าเป็นผู้เห็นเหตุการณ์
ควรเข้าช่วยเหลือคนป่วยเจ็บตามสมควร และเราจะต้องแสดงตัวเป็นพลเมืองดี โดยยินดีที่จะเป็นพยานในคดีให้
สมมุติว่าเราเห็นรถคันหนึ่งชนคนแล้วหนี สิ่งที่เราควรช่วยหลือจับกุมคนที่ทำผิดได้ก็คือ
พยายามจดทะเบียนรถ ชื่อยี่ห้อ สีรถที่ชนไว้ได้แล้วรีบแจ้งให้ตำรวจทราบเพื่อติดตามจับกุมต่อไป
มีพลเมืองดีบางท่านถึงกับขับรถตามจับคนขับที่ชนคนแล้วหนีได้
คนประเภทนี้ควรได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดีมีประโยชน์ต่อสังคม

2. ถ้าท่านเป็นคนเจ็บเพราะรถชน ท่านจะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับข้อ 1. สิ่งแรกคือ
ท่านจะต้องขอร้องให้คนอื่น หรือตำรวจนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดเพื่อช่วยชีวิตเขาไว้ก่อน
ส่วนเรื่องคดีนั้นเอาไว้พิจารณาภายหลัง แต่ถ้าเจ็บเล็กน้อยพอยอมความได้ก็ยอมเสีย เพื่อมิให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ
แต่จะต้องพยายามขอชื่อหรือจำทะเบียนรถคันที่ชนเราไว้ให้ได้ เพราะถ้าหากผู้ขับขี่เบี้ยวเราภายหลัง
เราจะได้จัดการเรียกค่าเสียหายได้ตามกฎหมาย มิฉะนั้นแล้วจะไม่รู้ว่าจะไปฟ้องร้องเขาจากใคร ที่ไหน

3. ถ้าท่านเป็นคนขับ
ถ้าท่านเป็นคนขับรถชนกัน สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ อย่าหนีเป็นอันขาด
เพราะความผิดฐานขับรถประมาทนั้นไม่ใช่เรื่องเจตนา ผู้กระทำผิดไม่ใช่อาชญากร โทษก็ไม่มากมายอะไร
ควรจะอยู่เพื่อต่อสู้กับความจริง มิฉะนั้นท่านจะต้องหลบหนีนานถึง 15 ปี ถ้าท่านขับรถชนคนตาย
แต่ถ้าท่านมอบตัวสู้คดี บางทีท่านก็ไม่มีความผิด หรือมีความผิดศาลก็ปรานีลดโทษให้ ถ้าท่านเป็นคนดีมีน้ำใจ

หน้าที่ของคนขับรถเมื่อเกิดรถชนกันนั้น กฎหมายกำหนดไว้ดังนี้

1. ต้องหยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร
เช่น ขับรถชนคนก็ต้องหยุดรถ ช่วยเหลือคนที่ถูกชน นำส่งโรงพยาบาลเท่าที่จะทำได้

2. ต้องไปแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที คือ
ต้องรีบไปแจ้งตำรวจที่ใกล้เคียงทันที แต่ต้องบอกตำรวจด้วยว่าเราเป็นคนขับรถอะไร

3. แจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่หมายเลขทะเบียนรถ แก่ผู้ได้รับความเสียหายด้วย

4. ถ้าผู้ขับขี่หลบหนีหรือไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กฎหมายให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำผิด
และตำรวจมีอำนาจยึดรถที่ขับไว้ จนกว่าจะได้ตัวผู้ขับขี่หรือจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

5. ถ้าคนขับคนใดไม่ปฏิบัติตามข้อ(1),(2)และ(3)แล้วจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท
แต่ถ้าคนที่ถูกชนบาดเจ็บสาหัสหรือตาย ต้องจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท

4. ถ้ารถท่านมีประกันท่านตัองรีบติดต่อกับบริษัทประกันของท่านทันที
เพราะบริษัทประกันเขาจะมีเจ้าหน้าที่มาตามที่เกิดเหตุ พร้อมทำแผนที่เกิดเหตุไว้พร้อมมูลเพื่อเอาไว้ต่อสู้คดี

5. ถ้ามีกล้องถ่ายรูป หรือหากล้องถ่ายรูปใกล้ที่เกิดเหตุได้ต้องรีบถ่ายรูปรถ และที่เกิดเหตุไว้ให้พร้อม
เพื่อจะได้เก็บไว้เป็นหลักฐานการต่อสู้คดีต่อไป
และหากมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิปอเต็กตึ้ง หรือมูลนิธิร่วมกตัญญูถ่ายภาพศพหรือที่เกิดเหตุไว้
ก็ให้ติดต่อขอภาพที่ถ่ายเก็บไว้ให้ได้ เพราะจะเป็นประโยชน์แก่รูปคดีในภายหลัง

6. ควรช่วยเหลือคนเจ็บหรือค่าทำศพของผู้เสียชีวิต
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ คนขับรถ มักไม่ค่อยเห็นประโยชน์ของการช่วยเหลือเหล่านี้
ความจริงเมื่อเราขับรถชนคนตาย บาดเจ็บ หรือการขับรถโดยประมาทนั้น
เรามีความผิดทั้งทางกฎหมายแพ่ง และอาญา


ทางอาญา เราอาจจะต้องรับโทษติดคุกติดตะราง
ทางแพ่ง เราจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย ค่าบาดเจ็บ ค่าทำศพให้กับเขาอีก คือ
ติดคุกแล้วยังจะต้องเสียเงินให้กับฝ่ายคนเจ็บ คนตายเขาอีก

ทีนี้ถ้าหากเราช่วยเหลือคนเจ็บ หรือใช้ค่าทำศพคนตายแล้ว มีผลดียังไง ตอบได้ว่า มีผลดีมาก
ยกตัวอย่างเช่น เราขับรถชนคนบาดเจ็บไปโรงพยาบาล ต่อมาอัยการฟ้องเราต่อศาล เราก็แถลงต่อศาลว่า
เราช่วยเหลือคนเจ็บส่งโรงพยาบาล ส่วนมาก ศาลจะเห็นว่า เราเป็นคนดีมีน้ำใจ
ศาลก็อาจจะรออาญาให้เราโดยไม่จำคุกเรา
แต่ถ้าเราชนแล้วหนี ส่วนมาก ศาลมักจะจำคุกเราเลย เพราะเห็นว่าเราเป็นคนแล้งน้ำใจ

การตกลงใช้ค่าเสียหายให้คนเจ็บ ก็มีประโยชน์มาก
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราไม่พยายามตกลงใช้ค่าเสียหายให้กับคนเจ็บ ตำรวจเขาจะมีระเบียบไว้ว่า
ไม่ให้คืนรถของกลางให้แก่ผู้ต้องหา จนกว่า ผู้ต้องหา จะพยายาม ตกลงกับฝ่ายผู้เสียหาย
และถ้าหาก เราชดใช้ค่าเสียหาย จ่ายค่าทำศพให้เขา คดีแพ่งก็ระงับ เพราะถือว่า ยอมความคดีแพ่งกันแล้ว
จะฟ้องเรียกค่าเสียหายเราในทางแพ่งไม่ได้อีกแล้ว และถ้าเราถูกฟ้อง คดีอาญาต่อศาล
ผู้เสียหาย จะมาแถลงต่อศาลว่า เราได้ชดใช้ค่าเสียหายให้เขาแล้ว
ส่วนมากแล้ว ศาลจะปรานีจำเลย โดยตัดสินให้รออาญาแก่จำเลย

เห็นหรือยังว่า การช่วยเหลือคนเจ็บ และการมีน้ำใจนั้นดีอย่างไร


reporters เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน...ทำอย่างไรดี
ที่มา http://www.thaihomemaster.com/showinformation.php?TYPE=1&ID=720

reporters วิธีตรวจสอบคุณภาพยางรถ


reporters วิธีตรวจสอบคุณภาพยางรถ
สภาพภูมิอากาศในประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในภัยร้าย ที่คอยบั่นทอนยางรถของคุณ

ยาง ต้องเจอกับสภาพถนนและอุณภูมิที่แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละวัน เราจึงควรเอาใจใส่ต่อยาง
เพราะสิ่งที่จะได้รับตอบแทนคือการขับขี่ที่ปลอดภัยตลอดเส้นทาง
ซึ่งทางที่ดีจึงควรตรวจสอบยางของท่านอย่างน้อย สัปดาห์ละ 1 ครั้ง


วิธีตรวจสอบคุณภาพยางแบบง่ายๆ

1. ตรวจสอบหน้ายางและแก้มยางว่ามีความเสียหายใดๆเกิดขึ้นหรือไม่
เช่น รอยบาดจากของมีคมประเภทเศษแก้ว การบวมบริเวณแก้มยาง การแตกลายงาในทุกส่วนของยาง

หากเกิดการฉีกขาดจากแก้มยางจนลึกไป ถึงผ้าใบชั้นใน ควรเปลี่ยนใหม่ทันที ไม่ควรซ่อม
เพราะแก้มยางคือ จุดที่ยางต้องรับน้ำหนัก และมีการบิดตัวไปมาในขณะที่ท่านขับขี่
ยางอาจเกิดการระเบิดขึ้นได้ หากมีรอยฉีกขาดบริเวณแก้มยาง

2. น้ำมันทุกชนิด มีผลก่อให้เกิดการบวมของยาง หรือยางร่อนออกจากขอบกระทะล้อ
ควรหลีกเลี่ยงการจอดรถบนคราบน้ำมัน หรือหากมีน้ำกรดหกโดนยาง ควรรีบล้างออกด้วยน้ำสบู่
พร้อมตรวจสอบสภาพของกระทะล้อ และจุ้บวาส์วเติมลมเป็นประจำ
เพราะบ่อยครั้งการแบนหรือรั่วซึมเกิดขึ้นจากสองจุดนี้ และควรมีฝาปิดจุ้บเติมลม เพื่อป้องกันการซึมของลมยาง

3. เมื่อรถเสีย และต้องถูกลากเป็นระยะทางไกลๆ ควรเพิ่มแรงดันลมยางที่ล้อหลังอีก 3-4ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว

4. การเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง หรือการออกตัวอย่างรุนแรง หรือออกรถแบบกระชาก
จะทำให้ยางมีการสึกเร็วกว่าการขับขี่แบบปกติมาก

5. ควรตรวจสอบความลึกของดอกยางว่าถึงระดับที่ควรจะเปลี่ยนยางหรือไม่
ซึ่งความลึกของดอกยางที่เหมาะสมควรมากกว่า 2 มิลลิเมตร

ยาง บางรุ่นในยุคปัจจุบัน มีสัญลักษณ์บอกความลึกของดอกยาง
เป็นแท่งเชื่อมระหว่างดอกยาง บริเวณส่วนลึกสุดของร่องยาง (แต่ไม่ไช่ทุกร่อง)
เมื่อใดที่ดอกยางสึกจนถึงแท่งนี้แล้ว ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆของยางควบคู่กันไปด้วย เช่น
สภาพของเนื้อยางมีการบวม หรือแตก เพราะยางบางเส้นอาจหมดอายุการใช้งานแล้ว 2 มิลลิเมตรก็ตาม

6. ควรเขี่ย เศษก้อนกรวด เศษแก้วที่ติดอยู่บริเวณร่องยางออกให้หมด
เพราะเศษกรวดเหล่านี้ อาจเบียดแทรกและทิ่มตำเนื้อยางให้เสียหายได้


reporters วิธีตรวจสอบคุณภาพยางรถ
ที่มา ไทยรัฐ

reporters เทคนิคการขับรถลดอุบัติเหตุ (Defensive Driving Technique)


reporters เทคนิคการขับรถลดอุบัติเหตุ (Defensive Driving Technique)
เกร็ดจากการอบรมเรื่อง “เทคนิคการขับรถลดอุบัติเหตุ” บรรยายโดย คุณพีระพงษ์ กลั่นกรอง
ผู้มีประสบการณ์ทั้งในการสอน และในสนามแข่งจาก Turning Point Consultant Co., Ltd.

1. กฎความปลอดภัย
ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์
คาดเข็มขัดนิรภัยและปรับเบาะนั่ง
ปรับมุมกระจกส่องหลังทั้ง 3 บาน
เลื่อนคันเกียร์มาที่ตำแหน่ง P (รถเกียร์อัตโนมัติ) หรือเกียร์ว่างสำหรับรถเกียร์ธรรมดา
ขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ให้เหยียบคลัซ (รถเกียร์ธรรมดา) หรือเบรค (รถเกียร์อัตโนมัติ)
อย่ายืนสตาร์ทเครื่องยนต์รถ
กรณีขับรถถอยหลัง ให้ขับช้าๆ เท่าที่จะทำได้
เหยียบเบรคทดสอบในระยะ 10 เมตรแรกที่เคลื่อนรถออก
ดึงเบรคมือทุกครั้งที่จอดรถ (รวมทั้งจอดรอสัญญาณไฟ)
หมุนพวงมาลัยให้ล้อชนขอบถนน เมื่อจอดรถบนทางลาดชัน
การเปลี่ยนยางรถให้หาวัสดุมารองหนุนล้อรถ เพื่อกันรถเคลื่อนขณะขึ้นแม่แรงยกรถ
อย่าจอดรถบนเชิงสะพาน ทางโค้ง หรือช่องขวาสุด เมื่อรถเสีย


2. ท่านั่งขับรถ (จะบอกขีดความสามารถในการควบคุมรถ)
การปรับระยะห่างเบาะรองนั่ง
สำหรับรถเกียร์ธรรมดา ให้เท้าเหยียบแป้นคลัชจนสุด ค้างไว้ โดยไม่เขย่ง แล้วเลื่อนเบาะเข้ามาให้เข่างอเล็กน้อย
และรถเกียร์อัตโนมัติให้เหยียบคันเร่งจนสุด โดยไม่เขย่งแล้วเลื่อนเบาะเข้ามาเหมือนกับรถเกียร์ธรรมดา

ต้องนั่งหลังพิงพนักเบาะให้มั่นคง เวลาโดนชนจะลดแรงที่กระทำต่อกล้ามเนื้อหลัง

ปรับระดับคอพวงมาลัยให้เห็นมาตรวัด
และไฟเตือนบนหน้าปัดและวงพวงมาลัยต้องสูงพ้นหน้าตัก/หน้าขาของผู้ขับรถ

มือจับพวงมาลัยส่วนบนสุดและงอแขนเล็กน้อย จะช่วยให้มีระยะหมุนพวงมาลัยได้ดีกว่าการเหยียดแขนตรง

เวลาขับรถอย่านั่งหุบเข่า ให้เข่าซ้ายยันกับคอนโซลกลางรถ เพื่อให้เกิดความมั่นคงเวลาขับรถ

การหมุนพวงมาลัย ต้องให้น้ำหนักเท่ากันทั้งมือขวาและซ้าย จะทำให้หมุนพวงมาลัยไม่กระตุก

ในการเหยียบเบรคหรือคลัซ ให้ส้นเท้าลอยจากพื้นรถ
(ถ้าส้นเท้าแตะพื้นรถ แรงจะลงที่พื้นรถมากกว่าไปที่คันเบรค
เป็นสาเหตุให้เบรครถไม่หยุด โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุวิกฤติ)



3. การวางแผนขับรถ (Driving plan) จะช่วยลดอุบัติเหตุลงได้ ผู้ขับขี่จะต้อง

มองรถที่อยู่ข้างหน้าไปอีก 5 คัน ในการขับตามกันบนถนน (ที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูง)
ถ้าคันหน้าแตะเบรค ผู้ขับขี่ก็จะมีเวลาประมาณ 5 วินาทีในการตอบสนองได้ทัน

ขณะขับรถเข้าโค้ง ตาต้องมองไปที่ทางโค้ง
ซึ่งตาจะประเมินความโค้งและมือจะมีความสัมพันธ์กับตา ทำให้ควบคุมรถเข้าโค้งได้ดีขึ้น

การขับรถเข้าโค้ง ให้ชะลอความเร็ว หรือแตะเบรคก่อนเข้าโค้ง (Entrance)
แล้วถอนเบรค พร้อมกับเร่งคันเร่งเมื่อถึงกลางโค้ง (Apex) และคืนพวงมาลัยเมื่อสุดโค้ง (Exit)


การเปลี่ยนเกียร์

- เกียร์ธรรมดา เปลี่ยนที่ความเร็วรอบระหว่าง 3,000-4,000 รอบต่อนาที แต่เมื่อจะแซงให้เปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำก่อน

- เกียร์อัตโนมัติ ให้ใช้ Kick Down ในการแซง


4. เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย (Driving Tip)

การหยุดรถ ควรหยุดห่างจากท้ายรถคันข้างหน้า ในระยะที่สามารถมองเห็นล้อรถคันข้างหน้าได้

การเปลี่ยนช่องทาง การเลี้ยวหรือแซง
ควรให้สัญญาณไฟกระพริบอย่างน้อย 3 ครั้ง ก่อนหมุนพวงมาลัย
และควรระมัดระวังรถจักรยานยนต์ที่อาจแซงขึ้นมา

การเว้นระยะห่างในขณะขับรถ
ควรเว้นระยะห่างประมาณ 2-4 วินาที โดยสังเกตระยะทางประมาณหนึ่งช่วงเสาไฟฟ้า

การจอดรถ ควรถอยเข้าที่จอดรถ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนกันขณะขับออกจากที่จอดและง่ายต่อการบังคับรถ



การแก้ปัญหาฉุกเฉิน

1. กรณีหม้อน้ำรั่ว
ให้หยุดรถแล้วดับเครื่องยนต์ จากนั้นสังเกตรอยรั่วของหม้อน้ำ ซึ่งจะมีน้ำพุ่งออกมา ต้องอยู่ห่างๆ
และห้ามเปิดฝาหม้อน้ำโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้น้ำร้อนพุ่งออกมาลวกได้ ควรปล่อยให้หม้อน้ำเย็นลง

2. กรณียางระเบิด
จะมีเสียงดังจากการระเบิดของยาง พยายามรวบรวมสติไว้ อย่าหักพวงมาลัยทันทีทันใด ค่อยๆ ผ่อนความเร็วลง
พวงมาลัยรถจะค่อยๆ หนักขึ้น รถจะเอียงไปทางด้านที่ล้อระเบิด
บังคับรถให้วิ่งตรงทาง ค่อยๆ เหยียบเบรคที่ละน้อย นำรถเข้าชิดขอบทางด้านซ้ายแล้วเปลี่ยนยางอะไหล่

3. เบรคแตก
เมื่อเหยียบเบรคจะรู้สึกว่าจมหายลงไปไม่มีแรงต้าน ห้ามล้อไม่ได้ ให้บังคับพวงมาลัยให้รถวิ่งไปในทางที่ปลอดภัย
พร้อมกับใช้นิ้วหัวแม่มือซ้ายกดปุ่มล็อคคันเบรคมือไว้ แล้วค่อยๆ ดึงคันเบรคมือขึ้นและลงสลับกัน
จนกระทั่งชะลอความเร็วและหยุดรถได้สนิท ข้อควรระวังก็คือ อย่าดึงเบรคมือขึ้นอย่างแรงในทันทีทันใด

4. รถตกน้ำ อย่าตกใจจนไม่ได้สติ ปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยออก
(การคาดเข็มขัดนิรภัย ในขณะขับขี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
แม้ในกรณีนี้ อย่าเข้าใจผิดว่าเมื่อคาดแล้วจะทำให้ปลดล็อคไม่ทัน เพราะเมื่อรถกระแทกจะทำให้ตัวท่านไม่กระเด็น
ทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บ และไม่หมดสติ ซึ่งอาจจะทำให้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้)
ปล่อยให้ตัวรถบริเวณติดตั้งเครื่องยนต์จมน้ำก่อน
ถ้าสามารถเปิดหน้าต่าง หรือประตูรถออกได้ในขณะที่ตัวรถยังไม่จมน้ำหมดทั้งคันให้รีบทำ

5. กระจกหน้าแตก
รวบรวมสติ พยายามจำข้างหน้ารถไว้ว่ามีอะไรบ้าง เพื่อบังคับรถไม่ให้ชน
เปิดไฟเลี้ยวซ้ายเข้าจอดไหล่ทางด้านซ้ายมือ ป้องกันรถคันอื่นชนและดึงเบรคมือไว้
หากมีผ้าเทปอยู่ในรถให้นำมาปิดประจกไว้ แล้วเคาะกระจกออก ถ้ามีแว่นตาให้ใส่ไว้เพื่อกันฝุ่นเข้าตา

“ขับอย่างมีสติ ทุกชีวิตจะปลอดภัย”


reporters เทคนิคการขับรถลดอุบัติเหตุ (Defensive Driving Technique)
โดย น.พ.กิจจา เรืองไทย ที่ปรึกษาอาวุโส ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม
ที่มา http://www.cpac.co.th/Safety/Column safety.html

reporters รวมเรื่องควรทำ สำหรับคนใช้รถ


reporters รวมเรื่องควรทำ สำหรับคนใช้รถ
นอกจากความชำนาญและประสบการณ์ในการขับขี่
เคล็ดลับดีๆ ก็มีส่วนช่วยยืดอายุการใช้งาน ทั้งยังช่วยเซฟค่าใช้จ่ายให้รถได้อีกด้วย
วันนี้ Lisa รวมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่สาวๆ ควรรู้มาฝากกันค่ะ

1. ใช้ไฟฉุกเฉินให้ถูกเวลา
เพราะถ้าเปิดพร่ำเพรื่อ อาจสร้างความสับสนให้แก่ผู้ร่วมทางได้
ควรใช้ในกรณีที่รถเสีย และต้องจอดอยู่ริมถนน เพื่อบอกให้เพื่อนร่วมทางที่สัญจรผ่านไปมาใช้ความระมัดระวัง

2. ปิดคอมเพรสเซอร์แอร์ก่อนดับเครื่องยนต์อย่างน้อย 5-10 นาที
จะช่วยไล่ความชื้นในตู้แอร์และไม่เป็นที่สะสมฝุ่น
นอกจากจะช่วยยืดอายุตู้แอร์แล้ว ยังช่วยลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ด้วย

3. เติมลมยางให้เหมาะสมตามมาตรฐานที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้
และเพิ่มแรงดันลมยางให้สูงขึ้นอีก 2-3 ปอนด์ เมื่อต้องเดินทางไกล
ลมยางที่อ่อนกว่ามาตรฐาน นอกจากจะทำให้หน้ายางด้านนอกสึกมากกว่าด้านในแล้ว
ยังมีโอกาสเกิดยางระเปิดมากกว่า หรือใกล้เคียงกับยางที่มีแรงดันลมยางเกิน กำหนด

4. ก้านปัดน้ำฝน ไม่จำเป็นต้องยกทุกครั้งเมื่อจอดรถ
เพราะนอกจากไม่ช่วยยืดอายุการใช้งานแล้ว ยังจะทำให้การใช้งานสั้นลงด้วย
เพราะสปริงในก้านที่ปัดน้ำฝนจะอ่อนและเสียเร็วขึ้น ปกติจะมีอายุการใช้งานประมาณหนึ่งปี
หากใช้นานกว่านั้น เนื้อยางจะแข็งตัวหรือมีการฉีกขาด (ไม่ว่าจะยกไว้หรือไม่ก็ตาม)

5. เลือกแบตเตอรี่ให้พอดีกับรถ
หลายคนใช้แบตเตอรี่ลูกใหญ่ เพราะคิดว่าทำให้รถสตาร์ทติดง่าย
ซึ่งจริงๆ แล้วขนาดไหนก็ใช้ไฟเท่าเดิม ใหญ่ไปก็หนักรถ เป็นการสิ้นเปลืองเกินกว่าความจำเป็น

6. ควรตั้งศูนย์ล้อให้ครบทั้ง 4 ล้อ เพราะศูนย์ล้อหลังก็สำคัญพอๆ กับศูนย์ล้อหน้า
เพราะมุมที่ล้อหลังเอียงไปเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้รถเสียสมดุลเมื่อเบรกหรือเลี้ยว

7. เปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่
จะช่วยให้ประหยัดค่าน้ำมันกว่าใช้ลมเป่าไส้กรองอากาศที่นิยมทำกัน

reporters รวมเรื่องควรทำ สำหรับคนใช้รถ
บทความจาก Lisa
ที่มา :http://hilight.kapook.com/view/38400

reporters คู่มือป้องกัน 'ไฟไหม้' 'รถใช้ก๊าซ'


reporters คู่มือป้องกัน 'ไฟไหม้' 'รถใช้ก๊าซ'
* อุบัติเหตุ ประมาท..อาจจะบึ้ม!

แม้คนไทยจะเริ่มชินกับ “น้ำมันแพง” กันบ้างแล้ว แต่ยังไง ๆ แพงก็คือแพง
ซึ่งสำหรับคนที่มีรถใช้ ส่วนหนึ่งก็หันไปพึ่งพา “แก๊ส” หรือ “ก๊าซ”
มีการนำรถไปติดตั้งระบบการใช้ก๊าซแทนการใช้น้ำมันกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย
แต่ขณะเดียวกันก็อาจจะเกิดการหวั่น ๆ ในเรื่อง “ความปลอดภัย”

“รถไฟไหม้” แม้แต่กับรถที่ใช้น้ำมันก็อาจเกิดขึ้นได้ แต่กับ “รถใช้ก๊าซ” ความกลัวในเรื่องนี้มีมากกว่า !!

ทั้ง นี้ กับเรื่องความปลอดภัยสำหรับผู้ที่ใช้รถซึ่งติดตั้งระบบใช้ก๊าซนั้น
ทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย มีการจัดทำคู่มือให้ความรู้ที่น่าสนใจ
กล่าวคือ... รถยนต์ที่ติดตั้งระบบใช้ก๊าซ จำเป็นจะต้องหมั่นตรวจเช็กดูแลรักษาเป็นอย่างดี
และควรต้องรู้วิธีปฏิบัติเมื่อรถใช้ก๊าซเกิดประสบอุบัติเหตุ

สำหรับการดูแลรักษารถยนต์ที่ใช้ก๊าซนั้น มีดังนี้คือ...

1.ต้องตรวจสอบรถและระบบก๊าซตามระยะที่กำหนด,

2.หมั่น ตรวจสอบข้อต่อท่อส่งก๊าซ และการรั่วไหลของก๊าซ
โดยใช้น้ำสบู่หยอดที่ข้อต่อก๊าซทุกจุดที่สามารถทำเองได้
โดยการตรวจรอยรั่วตามข้อต่อนั้น จะต้องทำการตรวจสอบขณะเปิดใช้ระบบก๊าซ

3.ควร เติมน้ำมันให้อยู่ในระดับ 14 ของถังน้ำมันด้วย เพราะขณะสตาร์ตรถต้องใช้การเผาไหม้จากน้ำมัน
เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้วระบบจึงจะถูกปรับไปใช้ก๊าซแทน,

4.ต้อง เติมก๊าซจากสถานีบริการที่ได้มาตรฐานเท่านั้น

5.หากไม่ใช้รถเป็นเวลานานควรปิดวาล์วมือหมุนที่ถังก๊าซ เพื่อป้องกันระบบวาล์วไฟฟ้าบกพร่อง
เพราะถ้าบกพร่องอาจเกิดการระเบิดหรือเพลิงไหม้ได้


นอก จากการดูแลรักษาแล้ว การรู้วิธีปฏิบัติเมื่อรถใช้ก๊าซเกิดอุบัติเหตุก็ควรให้ความสำคัญ
โดยข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระบุไว้ดังนี้คือ...

รถยนต์ที่ใช้ก๊าซมีความเสี่ยงที่จะเกิดเพลิงไหม้ได้ หากประสบอุบัติเหตุ รุนแรง
โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ส่วนหนึ่งมาจากการเฉี่ยวชน และระบบไฟฟ้าลัดวงจร

วิธีป้องกันและข้อควรปฏิบัติ มีดังนี้คือ...
เริ่มจากวิธีป้องกันเพลิงไหม้รถ ควรขับรถในอัตราความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม.
เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉิน นอกจากจะทำให้หยุดรถได้ทันแล้วยังช่วยลดแรงปะทะให้เหลือเพียง 45-55 กม./ชม.
ซึ่งเป็นระดับความเร็วที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุจะไม่ทำให้เกิดเพลิงไหม้รถ

กรณีประสบอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชน เมื่อเกิดมีอุบัติเหตุ มีการเฉี่ยวชน
ผู้ขับขี่รถที่ติดก๊าซควรดับเครื่องยนต์ แล้วรีบออกจากรถ
กรณีใช้ถังก๊าซวาล์วมือหมุนแบบธรรมดาให้รีบปิดวาล์วด้วยตนเอง
หากเป็นถังก๊าซระบบมัลติวาล์วระบบจะปิดเองโดยอัตโนมัติ

หากได้กลิ่นก๊าซรั่วไหลให้รีบออกห่างจากรถ เพราะอาจเกิดระเบิด อาจเกิดเพลิงไหม้รถ
พร้อมโทรศัพท์แจ้งช่างผู้ชำนาญการมาดำเนินการตรวจสอบโดยด่วน

ที่ สำคัญ...แม้หลังประสบอุบัติเหตุรถยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ แต่ก็ควรนำไปตรวจสอบสภาพ
เนื่องจากระบบติดตั้งก๊าซอาจได้รับการกระทบกระเทือน ก๊าซอาจรั่วไหลและระเบิดได้ !!

กรณีระบบไฟฟ้าลัดวงจร ในขณะขับรถผู้ขับขี่ ควรหมั่นสังเกตบริเวณกระโปรงหลังรถซึ่งเป็นที่ตั้งของ ถังก๊าซ
หากพบสิ่งผิดปกติ เช่น มีควันไฟลอยขึ้นมา มีกลิ่นก๊าซรั่วไหลเข้ามาในห้องโดยสาร
ให้รีบนำรถเข้าข้างทาง ปิดสวิตช์ไฟ ดับเครื่องยนต์ และปิดวาล์วถังก๊าซ พร้อมตรวจสอบอย่างละเอียด

วิธี ปฏิบัติเมื่อเกิดเพลิงไหม้รถ
หากเพลิงไหมเล็กน้อย ให้ใช้ถังดับเพลิงเคมีฉีดเข้าไปบริเวณต้นเพลิงจนเพลิง ดับสนิท
หากไม่มีถังดับเพลิงเคมีให้ใช้ผ้าแห้ง ผ้าที่เปียกน้ำ ทราย มาโปะหรือตบบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้
หรือเจาะปากขวดน้ำเปล่าเป็นรูเล็ก ๆ ให้น้ำพุ่งฉีดไปบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้โดยตรง

หาก เพลิงไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว ให้รีบออกห่างรถที่เกิดเพลิงไหม้โดยเร็วที่สุด
เพื่อป้องกันอันตรายจากการระเบิด พร้อมโทรฯ แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาควบคุมและระงับเพลิงไหม้โดยด่วน

“ที่ สำคัญ ผู้ขับขี่ควรจัดเตรียมถังดับเพลิงเคมีขนาดเล็ก หรือขวดน้ำเปล่าไว้ข้างเบาะ
เพื่อให้สามารถหยิบใช้ได้ทันทีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้
รวมถึงหมั่นตรวจสอบระบบติดตั้งก๊าซ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลา
จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้รถได้” ...ข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระบุ

อย่าง ไรก็ตาม แม้จะมีการตรวจสภาพรถและระบบก๊าซอย่างดี รวมถึงมีอุปกรณ์ดับเพลิงเตรียมพร้อมไว้แล้ว

ในการขับขี่ก็ไม่ควรประมาท โดยเฉพาะบน “เส้นทางที่เสี่ยงอุบัติเหตุ” เช่น
ถนนที่กำลังก่อสร้าง, ถนนที่กำลังมีการปรับปรุงซ่อมแซม, ถนนที่มีเลนสวน, ถนนที่ไหล่ทางแคบ,
ถนนไม่มีไหล่ทาง, ถนนที่มีพื้นผิวจราจรขรุขระ เป็นต้น

ซึ่งเส้นทางในลักษณะที่ว่ามานี้ แม้แต่รถที่ใช้น้ำมันก็ควรต้องระมัดระวังอยู่แล้ว
ยิ่งเป็นรถที่ใช้ก๊าซก็ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุ อาจจะเกิดเพลิงไหม้ตามมาได้

ฤดูหนาว...มักมีคำเตือนให้ระวังไฟไหม้อาคารบ้านเรือน
ส่วนกับ “รถใช้ก๊าซ” ต้องระวังมากเป็นพิเศษ...ทุกฤดู
มิฉะนั้นอาจเสียรถ-เสียค่าชดใช้ผู้อื่น...และเสียชีวิต !!.


ที่มา http://www.thaihealth.or.th/node/12429


reporters คู่มือป้องกัน 'ไฟไหม้' 'รถใช้ก๊าซ'

รถไฮบริดสไตล์สปอร์ท Honda CR-Z จากรถแนวคิดสู่รุ่นผลิต พร้อมขายกุมภาพันธ์ปีหน้า


รถไฮบริดสไตล์สปอร์ท Honda CR-Z จากรถแนวคิดสู่รุ่นผลิต พร้อมขายกุมภาพันธ์ปีหน้า
ภาพและข้อมูลเบื้องต้นของ Honda CR-Z ที่ใครๆเห็นแล้วก็ต้องบอกว่าอยากให้มีการผลิตรถรุ่นนี้ในเมืองไทยเพราะสวยล้ำยุคและเป็นรถขนาดกระทัดรัดที่ซดน้ำมันน้อยเพราะมันขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดนั่งเอง เดิมทีผมก็ไม่คิดว่า Honda จะตัดสินใจในการนำรถแนวคิดนี้เข้าสู่สายการผลิตจริงภายในปีนี้ เหมือนๆกับรถแนวคิดทั่วไปที่กว่าจะตัดสินใจนำเข้าสู่สายการผลิตก็ทิ้งระยะห่างระหว่างการเปิดตัวรถแนวคิดกับการตัดสินใจผลิตไว้นานจนจำไม่ได้ว่าเคยนำเสนอรถรุ่นแนวคิดไปแล้ว รถแนวคิดบางรุ่นอาจจะทิ้งเวลาไปหลายปีกว่าบริษัทจะตัดสินใจผลิตขึ้นมาจริงๆ ยกเว้นกรณีของ Honda CR-Z ที่วันนี้ นาย Takanobu Ito CEO ของ Honda ได้ออกมายืนยันผ่านสื่อแล้วว่า Honda จะปล่อย CR-Z ลงสู่ตลาดในต้นปีหน้า เรียกว่าเร็วกว่าที่คาดไว้มาก เพราะไม่ใช่แค่ตัดสินใจผลิตเท่านั้น แต่พร้อมขายเลยทีเดียว!

Honda จะเริ่มจำหน่าย CR-Z ในประเทศญี่ปุ่นในเดือนกุมภาพันธ์ที่กำลังจะมาถึงในปีหน้า และทำการปล่อยไปสู่ตลาดที่เหลือคือ ยุโรปและอเมริกาเหนือ น่าเสียดายที่ยังไม่มีแผนการทำตลาดในประเทศอื่นๆรวมทั้งไทย ฉะนั้นถ้าอยากได้มาขับก็คงต้องอาศัยบริษัทผู้นำเข้าอิสระอย่างเดียวครับงานนี้ แต่อย่างน้อยก็มีทางเลือกที่น่าสนใจเพิ่มมากอีกหนึ่งทางเลือก ในงานมอเตอร์โชว์ที่โตเกียวครั้งนี้ Honda ได้แสดง CR-Z รุ่นที่มีที่นั่งด้านหลัง แต่สำหรับตลาดอเมริกาแล้วจะเป็นเวอร์ชั่น 2 ที่นั่งครับ

CR-Z ได้ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด “เตี้ย สั้น และกว้าง” ที่ดูสปอร์ทและโฉบเฉี่ยวมากกว่า Honda Insight รถไฮบริดยอดนิยมรุ่นพี่ที่กำลังทำตลาดอยู่ในขณะนี้ สำหรับตลาดยุโรปและญี่ปุ่นยังไม่มีการยืนยันว่า จะมีเวอร์ชั่น 2 ที่นั่งหรือไม่อย่างไร ในขณะที่เวอร์ชั่นอเมริกันจะมีการเปิดตัวในครึ่งปีหลังของปีหน้าครับ

Honda อ้างว่า CR-Z เป็นรถไฮบริดรุ่นแรกของโลกที่ใช้เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ จากข้อมูลของรุ่นแนวคิด Honda CR-Z ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน i-VTEC 1.5 ลิตร ส่วนรุ่นผลิตเชิงพาณิชย์มีกำหนดการเผยโฉมในงานมอเตอร์โชว์ที่ดีทรอยต์ สหรัฐอเมริกา ในเดือนมกราคมปีหน้าครับ


รถไฮบริดสไตล์สปอร์ท Honda CR-Z จากรถแนวคิดสู่รุ่นผลิต พร้อมขายกุมภาพันธ์ปีหน้า

ที่มา: Honda

ลือกันไป MR-S Hybrid สปอร์คูเป้ไฮบริด หมัดเด็ดของ Toyota ส่งประกบ Honda CR-Z


ลือกันไป MR-S Hybrid สปอร์คูเป้ไฮบริด หมัดเด็ดของ Toyota ส่งประกบ Honda CR-Z
หลังจากที่ Honda ได้เปิดตัวรถแนวคิด CR-Z สปอร์ทคูเป้ไฮบริดไปแล้ว ก็มีข่าวลือที่ว่า Toyota เตรียมออกแบบรถไฮบริดใหม่เพื่อประกบคู่แข่งทันที แต่ข่าวลือก็ยังเป็นข่าวลือ ล่าสุด Best Car นิตยสารรถยนต์ของญี่ปุ่นออกมาเดาอีกแล้วว่า Toyota เตรียมปัดฝุ่น MR2 มาพัฒนาใหม่ให้เป็นรถไฮบริดเพื่อชนกับ Honda CR-Z ที่จะเริ่มขายในปีหน้านี้ โดยใช้ชื่อรุ่นว่า MR-S และคาดว่าจะใช้ระบบขับเคลื่อนที่พัฒนามาจากระบบไฮบริดของ Toyota Prius
จากภาพที่สร้างสรรขึ้นโดยนักออกแบบของนิตยสาร พอจะบอกได้จากช่องอากาศด้านหลังว่ารถไฮบริดตามข่าวลือนี้น่าจะเป็นรถเครื่องยนต์วางกลางและขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งถ้าเป็นจริงตามที่คาดก็จะทำให้ Toyota MR-S เป็นรถสปอร์ทมากกว่า Honda CR-Z ที่ขับเคลื่อนล้อหน้า อย่างไรก็ตามเราต้องติดตามกันต่อไปเพราะ Best Car ก็เคยคาดเดาอะไรผิดๆมาแล้วบ้างเหมือนกัน

ที่มา: Best Car

MINI USA Coupe ฉลองครบรอบ 50 ปีบริษัทฯ เปิดตัวโยนหินถามทางที่ Frankfurt


MINI USA Coupe ฉลองครบรอบ 50 ปีบริษัทฯ เปิดตัวโยนหินถามทางที่ Frankfurt
MINI USAฉลองครบรอบวันเกิด 50 ปีไปเมื่อวานนี้(26 สิงหาคม) โดยการปล่อยภาพที่เป็นทางการของรถแนวคิดคูเป้ที่เตรียมจะเปิดตัวเป็นครั้งแรกในโลกที่งานมอเตอร์โชว์ที่ Frankfurt กลางเดือนหน้า รถคูเป้คันนี้จริงๆก็เหมือนกับการนำเอา MINI John Cooper Works มาตัดหลังคาออก แล้วใส่โครงหลังคาและกระจกหน้าแบบรถทรงคูเป้เข้าไปแทน

หลังคาน้ำหนักเบาที่ทำด้วยวัสดุอลูมิเนียมของรถแนวคิดคูเป้ใหม่นี้ซึ่งอาจจะดูแปลกๆยังไงชอบกล ได้รับอิทธิพลมาจากหมวกเบสบอลที่นักออกแบบของ MINI ที่ชื่อ Gert Hildebrand ได้เห็นลูกชายวัยโจ๋ของเขาใส่หมวกกลับหลัง จึงเกิดไอเดียปิ๊งขึ้นมา แล้วมาลงที่หลังคาของรถแนวคิดคันนี้ MINI อ้างว่าการใช้หลังคาใหม่แบบนี้จะช่วยทำให้ลดจุดศูนย์ถ่วงของรถลงไป ส่งผลให้ลดการแกว่งของตัวรถและทำให้เกิดพฤติกรรมการขับขี่ที่ดีขึ้น

รายละเอียดในส่วนอื่นๆเช่น กันชนหน้า-หลัง ไฟหน้า กระจังหน้า และด้านหลังมีการออกแบบใหม่ทั้งหมด

ภายใน รถแนวคิดคูเป้นี้ได้นำเอาส่วนของเบาะหลังออกไปทำให้เกิดพื้นที่ว่างมากขึ้นจากเดิม 160 ลิตร เพิ่มไปเป็น 250 ลิตร หรือประมาณ 8.8 ลูกบาศก์ฟุต นอกจากนั้นยังมีการใช้สีที่โดดเด่นและวัสดุคุณภาพสูงมากขึ้นในการตกแต่ง เช่น ชุดเครื่องหนังพิเศษ การแต่งลวดลายด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์
คุณสมบัติที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของคูเป้รุ่นนี้ก็คือ การเพิ่มนาฬิกา Chronoswiss 2 ตัว เข้าไปใกล้กับมาตรวัดความเร็ว เรือนหนึ่งเอาไว้จับเวลาในการทำเวลาต่อรอบ อีกเรือนเอาไว้โชว์เฉยๆคือ เป็นนาฬิกาบอกเวลาธรรมดาๆนั่นเอง
รถแนวคิดคูเป้ 2 ที่นั่งคันนี้ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบแบบแยกท่อ Twin Scroll ขนาด 1.6 ลิตร ของรุ่น John Cooper Work ให้กำลัง 211 แรงม้า มีแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 260 นิวตัน-เมตร โดยสามารถขยับขึ้นไปเป็น 280 นิวตัน-เมตร โดยใช้ฟังค์ชั่นการทำงานแบบ Overboost เป็นระยะเวลาสั้นๆ และก็เหมือนกันกับรถแฮทช์ของ MINI อื่นๆคือ เครื่องยนต์จะส่งกำลังไปขับเคลื่อนล้อหน้า
จากการที่ใช้หลังคาอลูมิเนียมน้ำหนักเบา การนำเอาเบาะหลังเดิมออก และการใช้วัสดุน้ำหนักเบาต่างๆทำให้คูเป้คันนี้มีน้ำหนักเบากว่า MINI รุ่นอื่นๆ ผลก็คือ คูเป้คันนี้วิ่งได้เร็วกว่าแฮทช์รุ่นอื่น

แหล่งข่าวแจ้งว่า ในงานมอเตอร์โชว์ที่จะเปิดตัวรถแนวคิดคันนี้ MINI จะนำเสนอคูเป้ 2 ที่นั่งนี้ให้เป็นรถสไตล์ Roadster และต้องติดตามกันต่อไปอีกว่าจะมีการนำรถแนวคิดคันนี้เข้าสู่สายการผลิตจริงหรือไม่

MINI USA
ที่มา: BMW

MINI USA Roadster รถแนวคิดเล็กหรู 2 ที่นั่ง สู่สายการผลิตจริงพร้อม Coupe เริ่มขายปี 2011


MINI USA Roadster รถแนวคิดเล็กหรู 2 ที่นั่ง สู่สายการผลิตจริงพร้อม Coupe เริ่มขายปี 2011
ในงาน Frankfurt Motor Show ที่กำลังมีขึ้นในช่วงนี้ที่ประเทศเยอรมันนี MINI ได้เปิดตัวรถแนวคิด 2 รุ่นใหม่ที่หลายฝ่ายจับตาและรอคอย นั่นก็คือ MINI Coupe และ MINI Roadster โดยรุ่น Coupe นั้นทาง AutoSpinn.com ได้เคยนำมาให้ชมไปแล้ว เหลือแต่ MINI Roadster ที่กำลังจะพูดถึงในโพสต์นี้ครับ

MINI Roadster รถเปิดประทุนขับกินลม 2 ที่นั่ง มีมิติความยาว 3.71 เมตร กว้าง 1.68 เมตร และสูง 1.36 เมตร ภายใต้ฝากระโปรงของ Roadster รุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบแบบแยกท่อ หรือ Twin Scroll ขนาด 1.6 ลิตรของรุ่น John Cooper Works ที่ให้กำลัง 211 แรงม้า โดยมีแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 260 นิวตัน-เมตร แต่เครื่องยนต์สามารถเพิ่มแรงบิดขึ้นได้อีกเป็น 280 นิวตัน-เมตร ทาง MINI เผยว่ารถยนต์รุ่นนี้ใช้โครงสร้างน้ำหนักเบาแต่กลับไม่เปิดเผยในเรื่องน้ำหนักของ Roadster 2 ที่นั่งนี้

ภายในมีการใช้สีแบบทูโทน ขาว-ดำ สำหรับเบาะที่นั่ง โดยมี roll bar ชุบโครเมี่ยมที่เข้ากันดีกับเส้นลายโครเมี่ยมที่ตัวถังรถซึ่งเป็น option ความจุภายในของ Roadster คันนี้อยู่ที่ 250 ลิตร มากกว่าความจุ 150 ลิตรของ Mazda MX-5 Miata หรือความจุแค่ 142 ลิตร ของรถที่กลายเป็นตำนานในอดีตอย่าง Honda S2000 เสียอีก

ประธานบริหารของ BMW Group Dr.Norbert Reithofer ได้ยืนยันแล้วว่า รถแนวคิดทั้งสองรุ่นนี้จะถูกบรรจุในสายการผลิตจริง โดยคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายได้ภายในปี 2011 ซึ่งอาจจะออกมาพร้อมกับรถ SUV รุ่น Crossman ครับ

MINI USA Roadster รถแนวคิดเล็กหรู 2 ที่นั่ง สู่สายการผลิตจริงพร้อม Coupe เริ่มขายปี 2011
ที่มา: BMW

NEW HYUNDAI 2010

2010 ALL NEW HYUNDAI TUCSON iX MOVIE

The New Hyundai I20

The New Hyundai I20 - Click here for funny video clips

hyundai sonata

Roadfly.com - 2009 Hyundai Sonata Limited

Hyundai Sonata Video Review - Kelley Blue Book

NEW HYUNDAI SONATA 2.0-2.4
ติดขอบสนามทดสอบ "ฮุนได โซนาต้า" รุ่นล่าสุด เคาะค่าตัวที่....... บาท
เป็นเรื่องที่น่ายินดี เมื่อตลาดรถยนต์ประเทศไทยมีการแข่งขันสูงขึ้นในช่วงนี้ ส่อแววว่าในปีหน้าจะมีไฮไลต์ใหม่ ๆ ในการแข่งขันชิงเค้กชิ้นโต อย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ ฮุนได้ประกาศการเข้ามาทำแบรนด์ใหม่พร้อมกับเปิดโชว์รูมใหม่แห่งแรกอย่างเป็นทางการ แถมยังพกสินค้าใหม่ "โซนาต้า" มาอวดความเป็นรถเกาะหลีระดับหรู ให้ได้สัมผัสเป็นการชิมลางก่อนเปิดตัวไปไม่นานนี้
โซนาต้า ฮุนไดพยายามผลักดันนำเสนอความเป็นรถยนต์นั่งสำหรับครอบครัว ซึ่งจากความเป็นรถเกาหลีที่หันมาใส่ใจในเรื่องดีไซน์มากขึ้น โดยวางคอนเซ็ปต์ไว้เป็นรถยนต์ที่มีความหรูหราสไตล์ยุโรป ห้องโดยสารกว้างขวาง เน้นความสะดวกสบายในการขับขี่ และความปลอดภัยที่มั่นใจได้ เพียบพร้อมด้วยประโยชน์ใช้สอยที่หลากหลาย ดังนั้น เมื่อมองดูตามแนวคิดนี้บ่งบอกได้ว่ากลุ่มลูกค้าของ "โซนาต้า" ย่อมเป็นคนทำงานและประสบความสำเร็จในชีวิต พร้อมมีครอบครัวอันแสนอบอุ่น ตามที่ฮุนไดคุยว่า "โซนาต้า" คันนี้ พร้อมจะเป็น "ยนตรกรรมคู่กาย ที่จะเป็นเพื่อนแท้ในทุกวินาที บนความสำเร็จอีกระดับของคุณ" แล้วคุณมองว่าอย่างไรล่ะ แน่นอนคู่แข่งที่ฮุนไดต้องเจออย่างเลี่ยงไม่ได้ซึ่งทางญี่ปุ่นถือครองความสำเร็จตรงนี้มานาน สิ่งที่จะดึงเอาจุดขายมาชิงตลาดนี้ มีเพียงอย่างเดียวคือ ความคุ้มค่าในราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งทางฮุนไดคงเล็งเห็นตั้งแต่ต้น เพราะรถคันนี้ประกอบในไทย แต่ราคาจะเปิดกันที่เท่าไรดี

บิ๊กซีดานของคนเอเชีย หันมามองยุโรปเป็นตัวอย่าง

คงพูดได้เต็มปากว่า "สวยขิ้นชิบ" ไม่ว่าจะจอดนิ่งหรือเคลื่อนไหว ที่เกิดขึ้นจากแนวคิดการออกแบบที่หันมามองเรื่องเส้นสายใส่เข้าไปตั้งแต่หน้าจดหลัง ให้มีความรู้สึกเย้ายวน แต่ยังสะท้อนถึงพลังที่เต็มเปี่ยม ภายใต้แนวเส้นที่เรียบง่ายแต่บ่งบอกได้ลึกซึ้งถึงความรู้สึกภายใน...แล้วฮุนได ทำได้อย่างไร ??? ตั้งแต่ฝากระโปรงหน้ายันไฟท้าย ได้รับการออกแบบมาพิเศษระดับโลก ที่พูดอย่างนี้ได้เพราะว่าช่วงที่ผ่านมา ฮุนไดไม่เพียงก้าวออกสู่ตลาดเอเชียเท่านั้น เช่นเดียวกับแบรนด์อื่นของเกาหลีหันมาเล่นสู่ตลาดโลก ซึ่งสิ่งที่ทำให้ฮุนไดประสบความสำเร็จกับ "โซนาต้า"นั้น ต้องยอมรับว่ามองการณ์ไกล จากที่ลงทุนพัฒนาศูนย์วิจัยพัฒนาออกแบบ R&D ให้กระจายอยู่ทั่วโลก อย่างในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือในแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี ทำให้เกิดดีไซเนอร์และวิศวกรมากมาย นำความคิดที่ได้จากศูนย์ต่าง ๆ มาต่อยอด ออกมาเป็นฮุนได "โซนาต้า" อย่างที่เห็น
โซนาต้าจึงมีรูปลักษณ์ใหม่ที่โดดเด่นสะดุดตา ตั้งแต่กระจังหน้าที่ใช้โครเมียม ให้ความรู้สึกที่หรูหรา ต่อเนื่องกับลายเส้นฝากระโปรงหน้าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของฮุนไดทุกรุ่น โดยรอบข้างเน้นความเรียบง่าย แต่แอบเก๋ไก ดูคลาสสิก ส่วนลายเส้นของกันชนหน้าและหลัง ผู้ออกแบบนำเส้นของตัวอักษร Z มาใช้ในการออกแบบ อย่างในด้านท้ายให้อารมณ์สปอร์ตได้ดี และในส่วนของฝากระโปรงท้ายยังถูกยกสูงขึ้น แถมกันชนด้านหลังยังขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียว แล้ว 2.0 EL กับ 2.4 EXE ต่างกันอย่างไร ลองสังเกตกระจังหน้าดูว่าไม่เหมือนกัน

อารมณ์ผู้บริหารแฝงความเป็นรถครอบครัว

รถระดับนี้ลูกค้าต้องการอะไร ความหรูหรา เทคโนโลยี หรือรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีประโยชน์ ทั้งหมดนี้สามารถหาดูได้ในรถรุ่นใหม่ที่วิ่งออกมา แต่ "โซนาต้า" ทำอย่างไรให้แตกต่าง ถึงจะสู้กับคู่แข่งได้ ฮุนไดนำเสนอความเป็นกันเองกับผู้โดยสาร ให้ผู้ขับขี่รู้สึกถึงความเรียบง่าย การควบคุมเป็นไปอย่างราบรื่น

ปุ่มควบคุมที่จำเป็นถูกวางอย่างเป็นระเบียบ ใช้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส สีสันภายในเป็นแบบทูโทนที่ไปในทางเดียวกัน ไม่ได้ตัดกัน ทั้ง 2 รุ่น อย่างในตัว 2.0 EL จะได้เป็นภายในสีเทาทูโทน เสริมด้วยชุดแต่งลายสปอร์ต ส่วนตัว 2.4 EXE จะเป็นสีครีมทูโทนเข้ากับลายไม้สีเข้ม
ด้านพื้นที่ห้องโดยสาร ด้วยฐานล้อที่ยาวถึง 2,730 มม. เท่ากับมีพื้นที่ถึง 3 ลบ.ซม. ส่วนคู่แข่งในระดับเดียวกันอยู่ที่ 2.7-2.9 ลบ.ซม. ฮุนไดนำจุดนี้มาเป็นตัวชูโรงว่า แม้มีผู้โดยสารถึง 5 คน ยังนั่งสบายไม่อึดอัด ช่องประตูยังเปิดได้กว้าง ทำให้การเข้า-ออกสะดวกมากกว่าทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แถมยังมีลูกเล่นเบาะหลังสามารถพับเก็บราบหรือแบ่งพับ 60/40 ช่วยเพิ่มพื้นที่สัมภาระได้อีก แต่จุดขายยังไม่หมดเมื่อรถยนต์ระดับยูโรเปียนดีไซน์ ไหนล่ะจะลืมเรื่องเสียงที่ผ่านเข้ามา ซึ่งทีมงานได้เล็งเห็น จนทำให้ "โซนาต้า" ผู้ขับขี่จะมีสมาธิขณะขับรถ และลดความตึงเครียดเวลาต้องอยู่ในห้องโดยสารนาน ๆ จากความเงียบสงบที่ทำได้อย่างดี
ต่อเนื่องจากความเงียบ เมื่อทีมวิศวกรวางจุดเริ่มแนวคิดในการพัฒนาช่วงล่างให้เหมาะสมกับลูกค้าที่ชอบการเกาะถนนในสโตล์รถยุโรป ด้วยช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ หน้าเป็นแบบดับเบิลวิชโบน พร้อมหลังแบบมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลงหน้า-หลัง ซึ่งเป็นการปรับใหม่จากรุ่นก่อนที่โช้คอัพและสปริงรวมอยู่ด้วยกัน ฉะนั้นรุ่นใหม่จะแยกกันออกมาคนละส่วน ทำให้ช่วงล่างแบบใหม่พร้อมรับกับทุกสภาพถนน โดยเน้นความนุ่มนวลและความมั่นคงตามสไตล์รถยุโรป ด้วยระบบบังคับเลี้ยวที่แม่นยำมาก ควบคุมได้อย่างง่ายดาย แบบแร็ค แอนด์ พิเนี่ยน พร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรง ยังมีระบบปรับน้ำหนักพวงมาลัยตามรอบเครื่องยนต์ มีน้ำหนักเบาที่รอบต่ำ ทำให้คล่องตัวสูง เวลาอยู่ในเมืองที่มีการจราจรติดขัด หรือเวลาต้องจอดรถในที่แคบ ๆ แต่เมื่อความเร็วสูงขึ้น กลับกันพวงมาลัยจะหนัก เพื่อความมั่นคงในการขับขี่

ช่วงล่างดี เครื่องยนต์แรงพร้อมวาล์วแปรผัน

ด้วยพัฒนาการที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ทีมวิศวกรฮุนไดได้ใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุด ทำงานอย่างละเอียดในทุกขั้นตอนอย่างพิถีพิถันในการพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ฝาสูบ ไปจนถึงถาดน้ำมันเครื่อง สร้างแหล่งกำเนิดอีกระดับของพลัง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเครื่องยนต์ใหม่ จะเป็นเครื่องยนต์อันทรงพลัง มีมลพิษต่ำ ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เครื่องยนต์อะลูมินัมอัลลอยที่มีน้ำหนักเบา พร้อมเพลาถ่วงสมดุลคู่ ช่วยให้เครื่องเดินเรียบ และเงียบสนิท พร้อมอีกระดับของความทนทาน และความประหยัด ด้วยการเคลือบสาร Molybdenum ที่ลูกสูบ เพื่อลดแรงเสียดทานภายในห้องเครื่องยนต์ ลดภาระของเครื่องยนต์ ส่งผลดีในระยะยาว ซึ่งเทคโนโลยีนี้ในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ มีใช้เฉพาะในรถแข่งพลังแรงสูง เครื่องยนต์ V8 ที่เข้าแข่งขันในรายการ The Infinity Indy Racing ของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
เครื่องยนต์ 2 ขนาด ให้ลูกค้าได้เลือกใช้งานตามความต้องการ ขนาด 2.4 ลิตร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว แรงม้าสูงสุด 161 แรงม้า และเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว แรงม้าสูงสุด 144 แรงม้า
โดยเครื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่น ติดตั้งระบบ CVVT (Continuously Variable Valve Timing) วาล์วควบคุมอากาศ แปรผันอัจฉริยะ ขับเคลื่อนด้วยโซ่ไทมิ่งทนทานตลอดอายุการใช้งาน ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานอย่างราบเรียบ เงียบ ให้แรงบิดและพลังแรงจัดในทุกรอบความเร็ว ด้วยการบังคับให้วาล์วทำงานเปิด-ปิดอย่างต่อเนื่อง แปรผันตามความต้องการอากาศของเครื่องยนต์ เติมไอดีอย่างเต็มที่เมื่อต้องการใช้พลังงานสูงสุดในช่วงความเร็วสูง และป้อนอากาศให้น้อยลงในช่วงรอบความเร็วต่ำ เพื่อการทำงานของเครื่องยนต์ที่ราบเรียบ แรงจัดในทุกรอบความเร็ว และใช้น้ำมันทุกหยดอย่างประหยัดและคุ้มค่าสูงสุด
ทำงานผสานลงตัวกับชุดเกียร์อัจฉริยะ iDMA (Intelligent Dual Mode Auto Transmission) ที่รวมเอาเทคโนโลยีเกียร์ออโตเมติกและเกียร์ธรรมดาให้มาอยู่ในระบบเดียวกัน เน้นความทันสมัยด้วยเกียร์ออโตเมติกแบบขั้นบันได ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเทคโนโลยี HIVEC ที่เรียนรู้พฤติกรรมการขับรถของผู้ขับขี่ คอมพิวเตอร์จะสั่งให้เกียร์ทำงานได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นตามรูปแบบการขับขี่ของแต่ละท่าน ขับสนุก เร่งแซงได้ทันใจ ตอบสนองทุกความต้องการของการขับขี่

โดยรวมแล้วไม่เพียงแต่ภายนอกเท่านั้น ทั้งรูปลักษณ์ สมรรถนะ ที่ถูกนำมาเป็นจุดเด่น และระบบความปลอดภัยรุ่นใหม่ ๆ ยังถูกนำมาใส่ไว้ใน "โซนาต้า" ให้อย่างเพียบพร้อม เห็นได้ว่านี่จะเป็นรถธงในการเปิดหน้าใหม่ของฮุนไดในประเทศไทย ส่วนด้านความประหยัดที่หลายคนรวมทั้งทีมงานอยากรู้ หรือตัวเลขทดสอบต่างๆ จะนำมาเสนอในบทต่อไป










รายละเอียดทางเทคนิค
เครื่องยนต์
ชนิดเครื่องยนต์ เบนซิน 2.0 ลิตร (DOHC) เบนซิน 2.4 ลิตร (DOHC)
ความจุกระบอกสูบ(ซีซี.) 1,975 2,359
ความกว้างกระบอกสูบXระยะชัก(มม.) 82.0X93.5 88.0X97.0
อัตราส่วนกำลังอัด
10:1 10:5
กำลังสูงสุด (แรงม้า/รอบต่อนาที) 144/6,000 161/6,000
แรงบิดสูงสุด (กก.ม./รอบต่อนาที) /4,500 /4,500
ความจุถังน้ำมัน (ลิตร) 70
ระบบขับเคลื่อน
ระบบเกียร์ ออโตเมติก

อัตราทดเกียร์ เกียร์ 1 2.842
เกียร์ 2 1.529
เกียร์ 3 1.000
เกียร์ 4 0.712
เกียร์ถอยหลัง 2.480
อัตราทดเฟืองท้าย 3.770
ระบบช่วงล่าง
หน้า อิสระดับเบิ้ลวิชโบน พร้อมเหล็กกันโครง
หลัง มัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโครง
ระบบควบคุมการขับขี่แบบ แร็คแอนด์พิเนียน
ระบบเบรก 2 วงจรไขว้ พร้อมระบบ ABS ระบบกระจายแรงเบรกEBD และวาล์วควบคุมแรงดัน
หน้า/หลัง
ดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อน/ดิสก์

Campagna T-Rex 14RR มอเตอร์ไซค์ 3 ล้อ สัญชาติแคนาดา เครื่องยนต์ Kawasaki 197 แรงม้า


Campagna T-Rex 14RR มอเตอร์ไซค์ 3 ล้อ สัญชาติแคนาดา เครื่องยนต์ Kawasaki 197 แรงม้า
Campagna Motors คือบริษัทผู้ผลิตรถสามล้อหรือจะเรียกว่ามอเตอร์ไซค์ 3 ล้อก็น่าจะได้ ตามภาพที่นำมาให้ชม Campagna เป็นบริษัทสัญชาติแคนาดาที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองมอลทรีอัล ล่าสุดได้ประกาศเปิดตัว Campagna T-Rex 14RR ปี 2010 ที่ถือว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ 3 ล้อที่ดูดุดันมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา T-Rex 14RR ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ แถวเรียง 1,352 ซีซี ของ Kawasaki ที่ให้กำลัง 197 แรงม้า ผ่านกล่องเกียร์อนุกรม 6 จังหวะ โดยมีอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลา 3.9 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง

T-Rex 14RR ใช้ตัวถังที่ทำด้วยวัสดุไฟเบอร์กลาส ขับเคลื่อนบนล้อหน้าขอบ 16 นิ้ว ส่วนล้อหลังขอบ 18 นิ้ว โดยสามารถรับผู้โดยสารได้ 2 คนพร้อมสัมภาระ น้ำหนักรถอยู่ที่ 472 กิโลกรัม ส่วนราคาขายค่อนข้างสูงคือ56,500 เหรียญสหรัฐฯ ครับ



ที่มา: Campagna Motors

All-New Lexus GX460 ปี 2010 รถ SUV สไตล์หรู เวอร์ชั่นอเมริกา แฝดน้อง 2010 Land Cruiser


All-New Lexus GX460 ปี 2010 รถ SUV สไตล์หรู เวอร์ชั่นอเมริกา แฝดน้อง 2010 Land Cruiser
Lexus ได้ปล่อยภาพอย่างเป็นทางการชุดแรกของ All-New Lexus GX460 ปี 2010 เวอร์ชั่นอเมริกา ก่อนที่จะเปิดตัวในงาน Auto Guangzhou 2009 ประเทศจีน ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ สำหรับคนที่ชมภาพรถคันนี้แล้ว รู้สึกคุ้นๆก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะมันก็คืออีกร่างหนึ่งของ Toyota Land Cruiser ปั 2010 ที่กำลังจำหน่ายในยุโรปและตลาดอื่นๆในขณะนี้ จริงๆแล้ว เราก็ทราบกันดีว่ารูปโฉมของรถยนต์ Lexus และ Toyota จะมีรูปทรงที่คล้ายกันอยู่แล้ว

เมื่อมองดูจากภายนอก ความแตกต่างของ GX460 จาก Land Cruiser ก็แน่นอนว่าต้องเป็นกระจังหน้าและโลโก้ยี่ห้อ ไฟหน้าและไฟท้ายออกแบบใหม่ กันชนก็มีการออกแบบให้แตกต่างเช่นกัน มีเส้นแถบโครเมี่ยมด้านข้างบริเวณประตูส่วนล่าง ส่วนภายในมีการอัพเกรดใหม่ที่ดูหรูหรามากขึ้น ส่วนแผงหน้าปัดและคอนโซลกลางมีออกแบบให้โดดเด่นพิเศษเฉพาะ Lexus

Lexus ยังไม่เปิดเผยในรายละเอียดของรถเอสยูวีรุ่นนี้ แต่คาดว่าจะใช้เครื่องยนต์ V8 4.6 ลิตรแบบใหม่ของ Toyota ที่ให้กำลัง 310 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 327 ปอนด์ฟุต ซึ่งใช้กับรถกระบะปิกอัพ Tundra ในขณะที่ Toyota GX470 เจนเนอเรชั่นปัจจุบันใช้เครื่องยนต์ V8 4.7 ลิตร ให้กำลัง 263 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 323 ปอนด์ฟุต

Toyota GX460 ใหม่นี้จะเริ่มมีจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาในต้นปีหน้าครับ

ที่มา: Lexus
All-New Lexus GX460 ปี 2010 รถ SUV สไตล์หรู เวอร์ชั่นอเมริกา แฝดน้อง 2010 Land Cruiser

Nissan cars เปิดราคา Nissan 370Z Coupe รถสปอร์ทคูเป้ใหม่ รุ่นปี 2010 สำหรับตลาดอเมริกา


Nissan cars เปิดราคา Nissan 370Z Coupe รถสปอร์ทคูเป้ใหม่ รุ่นปี 2010 สำหรับตลาดอเมริกา
วันนี้ Nissan ได้เปิดราคาสำหรับ 370Z Coupe ใหม่ รุ่นปี 2010 การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสปอร์ทคูเป้นี้ได้แก่ ระบบนำทางแบบใหม่ กระจกมองข้างไล่ฝ้า เครื่องกรองอากาศภายในห้องโดยสาร มีสีใหม่ให้เลือกคือ Black Cherry รวมถึงชุดแต่งครบรอบ 40 ปีที่มาพร้อมกับฟังค์ชั่นพิเศษต่างๆและการใช้สีภายนอก-ภายในแบบใหม่ โดยจะเริ่มจำหน่ายที่สหรัฐอเมริกาในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า

สำหรับรุ่น Entry Level ของ Nissan 370Z ปี 2010 นี้จะมาพร้อมระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 29,990 เหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากรุ่นปี 2009 เพียง 60 เหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่รุ่น Touring มีราคาเพิ่มขึ้นอีก 200 เหรียญสหรัฐฯ ไปเป็น 34,660 เหรียญสหรัฐฯ ส่วนรุ่นที่สปอร์ทมากขึ้นอย่าง 370Z Nismo มีราคาเพิ่มขึ้น 60 เหรียญสหรัฐฯ เป็น 39,910 เหรียญสหรัฐฯ แต่สำหรับราคาของรุ่นครบรอบ 40 ปี จะมีการเปิดเผยในช่วงก่อนที่จะมีการเปิดตัวรุ่นนี้ครับ

ราคาใหม่ของ Nissan 370Z Coupe สำหรับตลาดอเมริกามีดังนี้ครับ

Nissan cars เปิดราคา Nissan 370Z Coupe รถสปอร์ทคูเป้ใหม่ รุ่นปี 2010 สำหรับตลาดอเมริกา
Nissan 370Z เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ 29,900 เหรียญสหรัฐฯ
Nissan 370Z เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ 31,460 เหรียญสหรัฐฯ
Nissan 370Z Touring เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ 34,660 เหรียญสหรัฐฯ
Nissan 370Z Touring เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ 36,130 เหรียญสหรัฐฯ
Nissan 370Z NISMO เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ 39,190 เหรียญสหรัฐฯ

Nissan cars เปิดราคา Nissan 370Z Coupe รถสปอร์ทคูเป้ใหม่ รุ่นปี 2010 สำหรับตลาดอเมริกา
ที่มา: Nissan cars

New Ford Fiesta ใหม่ พร้อมเปิดตัวครั้งแรกในอาเซียนที่งานมหกรรมยานยนต์ Thailand Motor Expo


New Ford Fiesta ใหม่ พร้อมเปิดตัวครั้งแรกในอาเซียนที่งานมหกรรมยานยนต์ Thailand Motor Expo
Ford เตรียมเปิดตัว Fiesta ใหม่ ที่ถือว่าเป็นครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียนที่งานมหกรรมยานยนต์ Thailand International Motor Expo ครั้งที่ 26 ในระหว่างวันที่ 2-13 ธันวาคมนี้ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับการเปิดตัว Ford Fiesta ใหม่ที่ทวีปอเมริกาเหนือในงาน LA Auto Show ในระหว่างวันที่ 2-13 ธันวาคมนี้เช่นกัน Fiesta เป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่มีรูปทรงปราดเปรียวทันสมัยสไตล์สปอร์ท โดยได้คว้ารางวัลต่างๆมากมายจากทั่วโลกเช่น รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2008 จากนิตยสาร Top Gear, Car, Car & Driver และ 4 Wheels รวมถึงการคว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2009 จากนิตยสาร Auto Express, What Car? และ Sun Motors อีกด้วย รายละเอียดของข่าวด้านล่างจาก บริษัท ฟอร์ด ประเทศไทย ครับ

ฟอร์ด เฟียสต้าใหม่ พร้อมเปิดตัวครั้งแรกในอาเซียนในงานมหกรรมยานยนต์ ไทยแลนด์ มอเตอร์ เอ็กซ์โป

กรุงเทพฯ (9 พย. 52) – ฟอร์ด ประเทศไทย จะเป็นเจ้าภาพการเปิดตัวระดับภูมิภาคอาเซียนของรถยนต์ระดับโลกคันใหม่ ฟอร์ด เฟียสต้า รถยนต์ขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากยอดขายกว่าครึ่งล้านคันทั่วโลก ภายในงานไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2009 ระหว่างวันที่ 2-13 ธันวาคมนี้


ความโดดเด่น ปราดเปรียว สะดุดตา และทันสมัย ของฟอร์ด เฟียสต้าใหม่ มาพร้อมการออกแบบเร้าใจที่ผสมผสานอย่างลงตัวกับความเชี่ยวชาญของฟอร์ดในการ พัฒนารถยนต์ขนาดเล็กที่ขับสนุกและโดดเด่นด้านสมรรถนะการขับขี่และยึดเกาะถนน ดีเยี่ยม รถคันใหม่นี้จึงมีความสำคัญในฐานะที่เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์หลักของฟอร์ดในอา เซียน รวมทั้งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเติบโตของฟอร์ดในภูมิภาคนี้

ฟอร์ด เฟียสต้าใหม่ เป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่ผู้บริโภคจะภาคภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ รวมทั้งเมื่อมีคนมองในขณะที่ขับขี่อยู่ อันเป็นผลจากการใช้แนวคิด ‘เคเนอติก ดีไซน์’ มาออกแบบรูปโฉมของเฟียสต้าใหม่ รวมทั้ง รายละเอียดต่างๆ เช่น ไฟหน้าที่โอบรอบมายังด้านข้างอย่างโฉบเฉี่ยว ซุ้มล้อโป่งทรงสปอร์ตที่โดดเด่น และเส้นสายด้านข้างของตัวรถที่ให้ความรู้สึกราวกับรถกำลังเคลื่อนไหวแม้ใน ขณะจอด

“ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญเรื่องสไตล์ จะชื่นชอบความแตกต่างที่ไม่เหมือนใครของรถคันนี้ ฟอร์ด เฟียสต้า คือรถที่สามารถบ่งบอกตัวตน ความมีเอกลักษณ์ และความต้องการของพวกเขา” มร. เดวิด อัลเดน ประธานฟอร์ด อาเซียน กล่าวและเสริมว่า “เฟียสต้าใหม่จะเป็นบันทึกแห่งความสำเร็จครั้งใหม่กับรถยนต์ขนาดเล็กของเรา และจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ฟอร์ดทั้งในประเทศไทยและในอาเซียนให้โดด เด่นเป็นที่ชื่นชอบมากยิ่งขึ้น รถคันนี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโชว์รูมของเรา และทำให้ผู้จำหน่ายฟอร์ดได้รู้จักกับกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีความสำคัญ อย่างมาก”
ฟอร์ด เฟียสต้าใหม่จะผลิตด้วยเทคโนโลยีทันสมัยที่โรงงานร่วมทุนแห่งใหม่ของฟอร์ด ภายใต้การลงทุนมูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท) ณ โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย (เอเอที) ในจังหวัดระยอง และจะพร้อมวางจำหน่ายในโชว์รูมฟอร์ดทั่วภูมิภาคอาเซียนในพ.ศ. 2553
รถฟอร์ด เฟียสต้าใหม่ ได้รับรางวัลมาแล้วมากมายจากทั่วโลก อาทิ รางวัลอันทรงเกียรติ “เรด ดอท อวอร์ด” ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ระดับนานาชาติ จากสถาบันดีไซน์ เซนทรัม นอร์เดรน เวสต์ฟาเลน เมืองเอสเซน ประเทศเยอรมนี รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2008 จากนิตยสาร Top Gear, Car, Car & Driver และ 4 Wheels นอกจากนี้ เฟียสต้าใหม่ยังสานต่อความสำเร็จในปีต่อมา ด้วยการคว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2009 จากนิตยสาร Auto Express, What Car? และ Sun Motors
ทั้งนี้ การเปิดตัวเฟียสต้าใหม่ครั้งแรกในอาเซียน จะจัดขึ้นพร้อมๆ กับการเปิดตัวครั้งแรกในทวีปอเมริกาเหนือ ภายในงานมหกรรมยานยนต์ ลองแองเจลิส ออโต้ โชว์ ระหว่างวันที่ 2-13 ธันวาคมนี้

ที่มา: Ford Thailand

รายการบล็อกของฉัน